xs
xsm
sm
md
lg

มาร์ค แค่ “หุ่นเชิด” สุเทพ-ประวิตร อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เป็นไปตามความคาดหมายอีกครั้ง เมื่อประเมินสถานการณ์แล้วว่า “กระแส” ความไม่พอใจของประชาชนในประเทศเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากการไม่ออกมาปกป้องศักดิ์ศรีคนไทย และรักษาอธิปไตยของชาติเท่าที่ควรจะเป็น กรณีกัมพูชา ทำให้เขาต้องออกมาเล่นบทใหม่ หรืออาจเป็นบทเดิม นั่นคือการแสดงท่าที “อ่อนข้อ” ขอเจรจา สร้างภาพลักษณ์ให้เห็นว่าตัวเองเปิดกว้างรับฟังข้อมูลและปัญหาจากทุกฝ่าย เพื่อหาทางออกร่วมกัน

ขณะเดียวกัน ต้องการแสดงให้สาธารณะเห็นว่าฝ่ายที่ชุมนุมต่อต้าน คือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไร้เหตุผล ก้าวร้าวทำลายความสงบสุขของชาวบ้าน

อย่างไรก็ดี ภาพดังกล่าวจะออกมาแบบนี้ทุกครั้งที่เขาถูกชุมนุมประท้วง ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็ใช้วาทศิลป์ที่ตัวเองช่ำชองเพื่อเอาตัวรอดนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาได้ทุกครั้ง และที่ผ่านมาชาวบ้านก็ยังให้โอกาสมาเรื่อยๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปการนั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศที่ใช้แต่คำพูดตีสำนวนโวหารไปวันๆ สร้างภาพให้ดูดี แต่ไม่สามารถทำได้ตามที่สัญญาเอาไว้

ตรงกันข้าม การดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศของเขาในภาวะที่เป็นอยู่มันก็ไม่ต่างอะไรจาก “หุ่นเชิด” อยู่ภายใต้อิทธิพลของ “กลุ่มอำนาจ” และกลุ่ม “ผลประโยชน์” ในลักษณะต่างตอบแทน นั่นคือฝ่ายหลังใช้ประโยชน์จากรุกคืบเข้าไปในทุกวงการ ขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขอเพียงแค่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้เดินสายพบปะร่วมประชุมแสดงวาทะไปทั่ว แค่นี้ก็ถือว่า “วิน-วิน” อย่างที่ว่ากันเท่านั้น

หากจะชี้ให้เห็นเพื่ออธิบายข้อกล่าวหาดังกล่าวข้างต้น ก็ต้องพิจารณากันในหลายกรณีที่เกิดขึ้นตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ ที่มีการตั้ง “กฎเหล็ก 9 ข้อ” โดยอ้างเพื่อสร้าง “ธรรมาภิบาล” สร้างจริยธรรมทางการเมืองให้สูงกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะสำคัญที่สุดคือการป้องกันการทุจริตคอรัปชั่นในรัฐบาลของเขา แต่กลายเป็นว่าเมื่อเวลาผ่านไปจากผลสำรวจทั้งจากโพลทั่วไปโดยสถาบันการศึกษาต่างๆล้วนออกมาตรงกันคือประชาชนยังรู้สึกว่ามีการทุจริตในอัตราที่สูงมากไม่ได้แตกต่างจากยุคอดีต หรือมากกว่า ขณะที่ผลสำรวจของบรรดานักธุรกิจที่เพิ่งเปิดเผยออกมาเมื่อปลายปีที่แล้วก็ออกมาในทางเดียวกันนั่นคือ “โคตรโกง” การโยกย้ายแต่งตั้งทั้งในมหาดไทย และตำรวจล้วนมีการซื้อขายตำแหน่ง ไม่ต่างจากยุคอดีต

กรณีการย้ายสนามบินดอนเมืองมาที่สุวรรณภูมิเพื่อให้เป็นสนามบินเดียวในตอนแรกก็แสดงท่าทีคัดค้านอ้างเหตุผลที่ดูดี เช่นต้องรอให้มีผลศึกษาข้อดีข้อเสียออกมาก่อน แต่ในที่สุดแล้วทุกอย่างก็เป็นแค่สร้างภาพ เพราะในที่สุดแล้ว ก็ไม่ได้ทำตามที่พูด ทั้งที่รู้กันอยู่แล้วว่าการย้ายสนามบินดังกล่าวมีผลประโยชน์มหาศาลของ กลุ่ม “ทุนดิวตี้ฟรี” อยู่เบื้องหลัง

การแก้ไขรัฐธรรมนูญตอนแรกก็คัดค้านไม่เห็นด้วย หรือหากจะแก้ไขก็ต้องรอทำประชามติถามความเห็นประชาชนก่อน แต่ในที่สุดทุกอย่างก็ออกมาตรงกันข้ามเช่นเคย มิหนำซ้ำยังลงมากำกับผลักดันด้วยตัวเอง และยังแก้ไขล้ำหน้ามากกว่าเดิมนั่นคือนอกจาก “แบ่งเขตเล็ก”แล้วยังใช้สูตร 375-125 ที่ตัวเองได้เปรียบมากที่สุดเสียอีก

การประมูลก่อสร้างรถไฟฟ้าสารพัดสี โดยเฉพาะสายสีม่วง ที่แม้ว่าคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของสภาผู้แทนที่มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานชี้มูลว่ามีการทุจริต มีการตั้ง “ราคากลาง” เอาไว้สูงเกินจริง แต่ในที่สุดคณะรัฐมนตรีก็ไฟเขียวให้ผ่านจนได้

หรือหากจำกันได้ เรื่องการก่อสร้าง-ขยายถนนขึ้นเขาใหญ่ที่ก่อนหน้านี้มีเสียงคัดค้านจากชาวบ้านส่วนใหญ่ที่เห็นว่าไม่จำเป็น เป็นการทำลายทรัพยากรต้นไม้สองข้างทาง จนสั่งให้ชะลอการก่อสร้างเอาไว้ก่อน แต่ในที่สุดมติคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วก็อนุมัติให้ก่อสร้างต่อไปอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้เปิดเผยผลศึกษาถึงผลกระทบที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแต่อย่างใด

สิ่งที่แสดงให้เห็นชัดเจนอีกกรณีหนึ่งว่าเขาไร้ซึ่งอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็คือ กรณีแถลงการณ์ตอบโต้กัมพูชาของกระทรวงการต่างประเทศอย่างเป็นทางการในข้อ 3 ที่ระบุว่ารื้อวัดแก้วศิขาคีรีสวาระและปลดธงออกไปโดยทันที แต่ในวันรุ่งขึ้นหลังจากถูกทักท้วงจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งประสานเป็นเนื้อเดียวกับ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงที่โต้แย้งในเรื่องรื้อวัดแก้วก็ต้องออกมาบอกว่าไม่ได้ต้องการให้รื้อวัดแก้วฯ เป็นการเข้าใจผิดเท่านั้น หรือกรณีการจับกุม 7 คนไทยก็เช่นเดียวกัน

การแสดงท่าทีกลับไปกลับมา หรือยอมอ่อนข้อให้กับฝ่ายตรงกันข้าม โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี ทำให้ขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขณะเดียวกันขาดความกล้าหาญเมื่อถึงเวลาสำคัญ ลักษณะที่เกิดขึ้นจึงไม่ต่างจาก “หุ่นเชิด” ของ “กลุ่มอำนาจ-อิทธิพล-ผลประโยชน์” ที่นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผ่านทาง สุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งหากยิ่งอยู่นานไปเท่าไร มันก็ยิ่งทำให้คนไทยและประเทศชาติได้รับผลกระทบมากขึ้นตามไปด้วย เพราะหากพิจารณาจากองค์ประกอบดังกล่าวย่อมเห็นแล้วว่า อภิสิทธิ์ ยอมอยู่ใต้คำ “บงการ” เพื่อรักษาเก้าอี้นายกฯตามที่ตัวเองปรารถนาเท่านั้น!!


กำลังโหลดความคิดเห็น