“ปานเทพ” จี้ต่อมสำนึก “มาร์ค” เหตุปล่อยคนไทยตกระกำลำบากในคุกเขมร แถมคอยให้ข้อมูลเป็นโทษ ชี้ ส่งทหารปักธงไทยไมเพียงพอ ต้องถอนวัด กับธงเขมรออกด้วย เผยเตรียมยื่น ป.ป.ช.-ศาลปกครองกลาง เอาผิด “มาร์ค-เทือก” ต่อ ด้าน “เทพมนตรี” ห่วงตาเมือนธม-ตาควาย โดนฮุบ แฉ กัมพูชารุกเพลิน หลังมี MOU43 ขณะที่ “พล.ต.จำลอง” ลั่นชุมนุมต่อ แม้ “วีระ” ถูกจับ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง การเสวนา "ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน"
วันนี้ (1 ก.พ.) เมื่อเวลา 17.00 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ร่วมกันแถลงข่าวก่อนที่ศาลกัมพูชาจะมีคำตัดสินคดี นายวีระ สมความคิด และ นางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ 2 ใน 7 คนไทยที่ถูกจับกุม
โดย นายปานเทพ กล่าวว่า วันนี้ (1 ก.พ.) เป็นวันที่ นายวีระ และ นางสาวราตรี ขึ้นศาลกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคาดว่า จะมีการพิจารณาคดีจบในวันนี้ โดยคดีนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลไทยไม่ได้สนับสนุนข้อมูลที่เป็นคุณต่อทั้ง 7 คนไทย หรือแม้กระทั่ง 2 คนสุดท้ายเลย หากศาลมีคำพิพากษาใดๆ ที่เป็นโทษกับ 2 คนไทยที่เหลือ ต้องถือว่ารัฐบาลมีส่วนรับผิดชอบอย่างยิ่งต่อกรณีนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มพันธมิตรฯจะมีการเคลื่อนไหวกดดันอย่างไรหรือไม่ ให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ นายปานเทพ กล่าวว่า ในส่วนของ 2 คนไทยที่เหลืออยู่ต้องดูทางญาติพี่น้องของนายวีระ และ นางสาวราตรี ว่า จะมีการยื่นคำร้องหรือคำฟ้อง เพื่อเอาผิดกับรัฐบาลเพิ่มเติมหรือไม่ เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ย้ำว่า ทั้ง 7 คนไทยถูกจับในแผ่นดินไทย แต่รัฐบาลก็เฉย แถม 2 คนสุดท้ายมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมที่เป็นประโชน์ แต่รัฐบาลไม่เคยนำไปใช้ เพื่อช่วยเหลือคนไทยเลย เมื่อรัฐบาลเพิกเฉยเช่นนี้ และยังมีข้อมูลที่เป็นโทษ โดยเฉพาะคำให้สัมภาษณ์ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ ปล่อยให้ศาลกัมพูชาพิพากษาคนไทยบนผืนแผ่นดินไทย ต้องถือว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบ ต่างจากคำพูดของ นายอภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 30 ม.ค.53 ที่บอกว่า ไม่ว่ากรณีใด ไม่สามารถขึ้นศาลกัมพูชาได้ ดังนั้น นายอภิสิทธิ์ ต้องรับผิดชอบด้วย แต่จะพิจารณาอย่างไร นายอภิสิทธิ์ ต้องพิจารณาเอง ซึ่งในส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับข้อร้องเรียกทั้ง 3 ข้อที่เรายังยืนยันในจุดยืนเดิม
“การรับผิดชอบในที่นี้เป็นสำนึกที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เคยพูดตลอดว่าความสำนึกสูงกว่ากฎหมาย ทางคดีความก็ดำเนินการกันไป ซึ่งนายกฯอภิสิทธิ์ เคยอภิปราย นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า มีสิ่งหนึ่งที่สูงกว่ากฎหมาย คือ สำนึกแห่งความรับผิดชอบ และจากการเพิกเฉยต่อภาคประชาชน จึงต้องมีสำนึกแห่งความรับผิดชอบด้วยการพิจารณาตัวเอง” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า ทางทนายของ นายวีระ ได้มีการนำพยานบุคคลไปช่วยนายวีระ คือนายฐิติพัฒน์ เสมาทอง นายก อบต.บ้านใหม่หนองไทร ซึ่งเป็นลูกเขยของเจ้าของที่ดินที่บริเวณสระน้ำยูเอ็นตามเอกสาร ส.ค.1 ที่ไปให้การเป็นพยานด้วยตัวเอง แต่ในทางตรงกันข้ามเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ก่อนการพิพากษาเพียง 1 วัน รัฐบาลกลับปล่อยให้มีการสัมภาษณ์ที่เป็นโทษกับรูปคดี ในลักษณะที่นำชาวบ้านซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ที่ถูกรุกรานโดยกัมพูชามาให้ข้อมูล รวมทั้งยังปล่อยให้ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ คนสนิทของนายกฯอภิสิทธิ์ มาพูดในลักษณะว่าบุคคลที่นำมาสามารถรับรองได้ว่า สระน้ำยูเอ็นอยู่ในฝั่งกัมพูชา ทั้งที่บุคคลกลุ่มดังกล่าวไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียและไม่ได้ถูกรุกรานจากฝ่ายกัมพูชา
“รัฐบาลไม่เคยให้ข้อมูลที่เป็นคุณกับทั้ง 7 คนไทย มีแต่ข้อมูลที่เป็นโทษในทางสาธารณะ หากเกิดคำพิพากษาที่เป็นโทษกับ 2 คนไทยที่เหลือ รัฐบาลนี้ต้องรับผิดชอบทั้งคณะ” นายปานเทพ กล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวถึงกรณีที่ทหารไทยได้เชิญธงชาติไทยขึ้นบริเวณสถูปคู่ ใกล้กับวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ว่า รัฐบาลไทยพยายามอัญเชิญธงชาติขึ้นให้สูงกว่าธงชาติกัมพูชา แต่สาระสำคัญในกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องของธงชาติในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาตรงที่ว่า วัดแก้วฯถือเป็นจุดยุทธศาสตร์กัมพูชาจะใช้ในการขึ้นจากฝั่งกัมพูชามายังตัวปราสาทพระวิหาร โดยการสร้างถนนผ่านวัดแก้วฯ เพราะฉะนั้นการเชิญธงชาติของกัมพูชามีนัยสำคัญที่เชื่อมโยงต่อการนำพื้นที่ดังกล่าวไปสู่ส่วนหนึ่งของแผนบริหารจัดการมรดกโลกของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะฉะนั้นหากรัฐบาลจะแก้ไข ต้องให้เขานำธงชาติกัมพูชาออกจากพื้นที่ เพื่อหยุดยั้งการสำแดงอำนาจอธิปไตย ก่อนที่จะมีการพิจารณาแผนการบริหารมรดกโลก ที่มีกำหนดยื่นต่อคณะกรรมการให้แล้วเสร็จเดือน ก.พ.นี้ หากรัฐบาลคิดว่าเชิญธงชาติขึ้นที่สถูปคู่แล้วจะสามารถแก้ปัญหาได้นั้น เข้าใจผิดมาก ต้องให้กัมพูชานำธงและวัดออกจากพื้นที่ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ออกแถลงการณ์แล้วว่าพื้นที่เหล่านี้เป็นของประเทศไทย
“จากการใช้ MOU 2543 มาวันนี้ครบ 11 ปี ที่สำคัญวันแก้วสิกขาคีรีสวาระ ได้สร้างมาตั้งแต่ปี 2541 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผ่านมา 13 ปีเต็ม แต่ MOU 2543 กลับไม่สามารถทำให้มีการรื้อถอนวัดออกไปได้เลย ตรงนี้ถือเป็นบทพิสูจน์เพียงพอแล้วว่า MOU 2543 ใช้ไม่ได้ผล และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ เพราะการประท้วง ยับยั้ง หรือรื้อถอนนั้นใช้ไม่ได้ มีวิธีเดียวที่ได้ผล คือ การสำแดงแสนยานุภาพทางการทหารเข้ากดดัน ซึ่งไม่ได้กำหนดอยู่ใน MOU 2543 เลย” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนไม่ได้ มีปัญหาเฉพาะที่เขาพระวิหาร หรือค่ายอพยพที่บ้านหนองจานเท่านั้น ที่กัมพูชาใช้อ้างในการรุกล้ำเข้ามา ล่าสุด ยังพบว่า มีความพยายามในการรุกล้ำเพียงยึดครองทั้งปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม ที่ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ จากเดิมที่ไม่เคยมีปัญหามาก่อนระหว่างไทย-กัมพูชา แต่บัดนี้ได้เกิดปัญหาขึ้นแล้ว
ด้าน นายเทพมนตรี ลิมปพยอม กล่าวเสริมว่า ในส่วนของปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ที่บ้านตาเมียง จ.สุรินทร์ ซึ่งปัจจุบันมีกองทหารพรานรักษาการณ์อยู่บนตัวปราสาท โดยการพกอาวุธบนตัวปราสาทได้ แสดงถึงอธิปไตยของไทย ส่วนทหารกัมพูชาหากต้องการขึ้นมาต้องขออนุญาต และต้องติดบัตรแสดงตัว แต่ปัจจุบันนี้ทหารกัมพูชาพยายามรุกคืบขึ้นมาบนตัวปราสาท เพราะเกิดปัญหาจากเรื่องหลักเขต ระหว่างจุดอ้างอิงเดิมตามแผนที่ L7017 ที่ทางไทยใช้อ้างอิง และทางกัมพูชาใช้แผนที่ L7016 แต่เกิดปัญหาหลังการเกิด MOU 2543 ที่ทำให้มีทางกัมพูชาใช้เส้นแบ่งเขตแดนตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ทำให้เกิดเส้นแบ่งเขตพิสดารขึ้น โดยกัมพูชาพยายามนำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนเพื่อหวังยึดครองพื้นที่เป็นส่วนเกิน จึงมีหลักมุดอันใหม่เกิดขึ้นที่ปราสาทตาเมือนธม แต่กลับไปปักที่ปราสาทตาเมือนโต๊ด ซึ่งอยู่ลึกเข้ามาในดินแดนไทยกว่า 1 กม.ดังนั้น จึงเกิด 2 เส้นแบ่งเขต เส้นหนึ่งเป็นไปตามหลักหมุดที่ 23 ซึ่งปัจจุบันได้หายไป กับเส้นใหม่ที่รุกเข้ามาจากแนวเดิมกว่า 1 กม.ซึ่งเป็นผลมาจาก MOU 2543 และต่อมากลายเป็นคณะกรรมธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ทำให้พื้นที่ระหว่างเส้นใหม่กับเส้นเก่ากลายเป็นพื้นที่พิพาท ทั้งที่แต่เดิมเราไม่เคยมีปัญหาพิพาทกับกัมพูชาในบริเวณนี้ โดยมีพัฒนาการในการเข้าไปบูรณะโบราณสถานตาเมือนธมโดยกรมศิลปากร และมีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง แต่มี JBC ขึ้นมาโดย MOU 2543 จึงทำให้เกิดการแสดงสิทธิ์จากฝ่ายกัมพูชา
นายเทพมนตรี กล่าวต่อว่า ในส่วนของปราสาทตาควาย ซึ่งอยู่สูงกว่าปราสาทตาเมือนธม ในแนวสันปันน้ำ โดยแแต่เดิมไทยครอบครองแต่เพียงผู้เดียว 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อมี MOU 2543 เกิดเส้นแบ่งเขตแดนขึ้นมาอีก 2 เส้น ทำให้ต้องแบ่งกรรมสิทธิ์ให้กัมพูชาคนละครึ่ง ทั้งที่เมื่อปี 2551 เกิดเหตุการณ์ที่กัมพูชาส่งทหารรุกขึ้นมายึดปราสาทตาควาย แต่ทหารไทยทำการไล่ลงไป โดยทหารไทยสามารถติดอาวุธเพียงขู่ทางกัมพูชาได้ แต่ในตอนนี้ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องติดอาวุธขึ้นไป แสดงว่าไทยเสียอำนาจการตรอบครองปราสาทคาควายไปให้กัมพูชาในลักษณะ 50 : 50 ตรงนี้จะเป็นปัญหามาก หากวันหนึ่งทหารไทยลดกำลังลง ทางกัมพูชาก็จะรุกคืบยึดปราสาทตาควายไป และจะไม่สามารถไล่ออกไปได้ เพราะจะมีการอ้างข้อ 8 ใน MOU 2543 ที่ไม่ให้มีการใช้กำลัง โดยตนจะขยายความบนเวทีปราศรัยเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนอีกครั้ง
“กองกำลังสุรนารี เคยรักษาปราสาทตาควายได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่บัดนี้ไม่สามารถทำได้ เพราะเหตุมาจาก JBC ที่ไม่ให้ทหารรักษาการณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ และทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่สามารถติดอาวุธขึ้นไปบนปราสาทได้ ทำให้กัมพูชาส่งกำลังบำรุงมาเรื่อยๆมาอยู่รายรอบปราสาท และมีการทำกระเช้าขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว” นายเทพมนตรี กล่าว
ในส่วนกรณีที่นายกฯอภสิทธิ์ ถามมายังกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า หากถอนตัวจากภาคีมรดกโลกแล้ว ทางกัมพูชายื่นขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารฝ่ายเดียว ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ นายปานเทพ กล่าวว่า นายกฯอภสิทธิ์ ต้องทราบข้อเท็จจริงว่า ข้อเสนอของพันธมิตรฯต้องทำ 3 ข้อพร้อมกัน มิใช่ทำข้อใดข้อหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการถอน MOU 2543 โดยอ้างว่า กัมพูชาละเมิดสิทธิ์ประเทศไทยอย่างไร และถอนตัวจากภาคีมรดกโลก เพราะถูกยูเนสโกและนานาชาติละเมิดอย่างไร แล้วจึงใช้กำลังทหารผลักดันชุมชนกัมพูชาออกไป หากทำทั้ง 3 ข้อนี้พร้อมๆกัน ก็จะทำให้การขึ้นทะเบียมรดกโลกไม่ได้ กัมพูชาก็ไม่สามารถยื่นแผนบริหารจัดการมรดกโลกได้ แต่เมื่อถามว่าที่ผ่านมาใครต้องรับผิดชอบ ในเมื่อนายกฯอภิสิทธิ์ ปล่อยให้ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรฯ ไปลงนามในร่างประนีประนอมเมื่อเดือน มิ.ย.53 จนในที่สุดได้ปรากฏในคำชี้แจงของยูเนสโกประเทศไทย ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหมายถึงการยอมรับให้มีการตั้งคณะกรรมการ 7 ชาติ เข้ามาดูแลปราสาทพระวิหารในฐานะมรดกโลก แสดงว่า ทั่วโลกเข้าใจตรงกันว่า เราถลำลึกลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น ถ้าจะมีคนรับผิดชอบก็ต้องเป็นนายกฯอภิสิทธิ์
ด้าน นายเทพมนตรี ได้กล่าวในกรณีเดียวกันว่า หากจะมีการถอนตัวจากภาคีมรดกโลก สิ่งที่รัฐบาลต้องทำ คือ ส่งทหารขึ้นไปรักษาการณ์ในพื้นที่ที่กระทรวงการต่างประเทศได้ประกาศแล้วว่าเป็นของเรา และเมื่อมีการประชุมมรดกโลกที่บาห์เรน ก็สามารถที่จะให้ ดร.สรวงสุดา ลียะวาณิชย์ อธิบดีกรมศิลปากร ซึ่งเป็นกรรมาธิการในคณะกรรมการมรดกโลกจากฝ่ายไทย ยื่นให้มรดกโลกปราสาทเขาพระวิหาร เป็นมรดกโลกอันตราย ซึ่งเรายื่นได้ในฐานะมีผู้แทนเป็นสมาชิกในคณะใหญ่ 1 ใน 21 ประเทศ ทำให้ปราสาทพระวิหารจะถูกแขวนไปเป็นเวลา 5 ปีตามกฎของยูเนสโก กัมพูชาก็ต้องมาร้องขอไทย เราก็จะมีอำนาจต่อรอง จริงๆ แล้วเรามีหนทางเยอะมาก แต่ นายกฯอภิสิทธิ์ ไม่พูดให้หมด ทั้งๆ ที่รู้อยู่ แต่มักโยนมาให้กลุ่มพันธมิตรฯเป็นผู้ตอบ
นายเทพมนตรี กล่าวเสริมอีกว่า เมื่อเสนอให้มีการแขวน โดยอ้างว่า มีกองกำลังติดอาวุธอยู่ นายกฯฮุนเซน ก็จะแย่ เกมการเมืองในกัมพูชาก็จะพลิก เพราะอายุของปราสาทพระวิหารในการขึ้นทะเบียนเหลืออีกเพียง 1 ปีเท่านั้น หากภายในปี 2555 กัมพูชาไม่สามารถทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียน ก็ต้องคืนเงินสนับสนุนให้ยูเนสโก แถมในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกปี 2555 จัดขึ้นที่กัมพูชา ยิ่งทำให้นายกฯฮุนเซน อยู่ในสถานการณ์ลำบากหนัก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ดีและง่ายที่สุดของไทย คือ การถอนตัวจากภาคีมรดกโลก และส่งกองกำลังขึ้นไปรักษาการณ์ ซึ่งไม่ทำให้มีปัญหาตามมาแน่นอน เพราะเมื่อถอนตัว นานาชาติไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงเราได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการผลักดันชุมชนกัมพูชา จะทำให้พื้นที่นั้นเป็นพื้นที่พิพาททันที แผนการบริหารจัดการก็ล้มทันที
หลังจากนั้น นายปานเทพ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ศาลอาญายกคำร้องกรณีที่ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ และนายตายแน่ มุ่งมาจน 2 ใน 7 คนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมแล้วศาลกัมพูชาตัดสินมีความผิดฐานเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีร่วมคณะ ว่า การยกคำร้อง เนื่องจากอยู่นอกขอบเขตของอำนาจศาลอาญา โดยขั้นตอนต่อไปทางทีมทนายจะดำเนินการยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติชอบแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และยื่นคำฟ้องศาลปกครองกลางต่อไป โดยในส่วนของ ป.ป.ช.จะเป็นการยื่นฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ แต่ในส่วนของศาลปกครองกลางเป็นการยื่นฟ้องในฐานะผู้เสียหายโดยตรง โดยจะดำเนินการให้เร็วที่สุด
ขณะที่ พล.ต.จำลอง กล่าวย้ำว่า ไม่ว่าผลการตัดสินกรณีนายวีระ และ นางสาวราตรี ออกมาอย่างไร ภาคประชาชนก็ยังไม่ยุติการชุมนุม เพราะข้อเรียกร้อง 3 ข้อยังไม่ได้รับการสนอง กรณี 7 คนไทยเป็นเรื่องสำคัญ แต่เกิดขึ้นในภายหลัง ส่วนเรื่องการเจรจากับทางรัฐบาล ตนย้ำว่าเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า เพราะที่ผ่านมาล้มเหลวมาโดยตลอด