แกนนำพันธมิตรฯ ลั่นหมดเวลาเจรจาข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร ยื่นไม้ตาย 3 ข้อเรียกร้องถึงเวลาต้องปฏิบัติจริง แนะให้ใช้กองทัพเข้ากดดัน ไม่ใช่ส่งไปรบราฆ่าฟันกับเขมร เมินต้นเหตุเรียกทหารออกมาปฏิวัติ เชื่อ คนปล่อยข่าวแค่หวังตีปลาหน้าไซ แขวะ “กษิต” กลับกลอกหลังได้นั่งเก้าอี้เสนาบดี ปรามาสพวกคนไทยหัวใจเขมร ด้าน “ปานเทพ” ลั่นไม่ว่า รบ.ไหน พธม.ก็ต้องออกมา หากไม่รักษาผลประโยชน์อธิปไตยของชาติ
วันนี้ (28 ม.ค.) ที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่คนในรัฐบาล ระบุว่า จะมีการจัดการเจรจาหลังนายกฯอภิสิทธิ์ เดินทางกลับจากต่างประเทศ ว่า ตอนนี้หมดเวลาเจรจาแล้ว ถึงเวลาที่ต้องลงมือทำ ที่ผ่านมา เอาแต่เจรจาก็ไม่มีอะไรคืบหน้า อีกไม่นานก็จะมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่จะมีการนำปราสาทเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนด้วย รัฐบาลเอาเวลาไปดำเนินการแก้ไขปัญหาดีกว่า ซึ่งทางกลุ่มบอกชัดเจนว่า เรียกร้องใน 3 ข้อ คือ เลิกเอ็มโอยู 43 ถอนตัวจากภาคีมรดกโลก และผลักดันกัมพูชากลับประเทศ พูดกี่ทีก็จะมีแค่ 3 ข้อนี้ ข้อเรียกร้องนี้ไม่ใช่ข้อเรียกร้องเพื่อการต่อรองและเจรจา แต่เป็นข้อเรียกร้องเพื่อให้ลงมือทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากใช้มาตรการทางทหารเข้ากดดัน อาจเกิดเหตุบานปลายได้ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ตนขอเปรียบเทียบกับการทำหน้าที่ของตำรวจ ที่เมื่อเจอคนทำผิดซึ่งหน้า ไม่จำเป็นต้องรอให้รัฐบาลสั่ง แต่ในกรณีนี้มีการละเมิดดินแดนชัด แต่ทหารกลับละเลยไม่ทำหน้าที่ รอให้รัฐบาลสั่งการ ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องรอ เพราะเมื่อมีผู้บุกรุก ทหารต้องมีหน้าที่ไล่ออกไป แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงขณะนี้ ก็คงต้องรอให้รัฐบาลตัดสินใจ ภาคประชาชนก็มีหน้าที่ออกมากดดัน เมื่อรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ โดยการทำหน้าที่นั้น อาจจะมีการเสียสละบ้าง แต่เราก็ไม่ได้พยายามให้เกิดการสู้รบทัพจับศึกกัน ให้ใช้อำนาจการต่อรอง เพียงแค่ให้กองทัพบกไปซ้อมรบใกล้ๆ ชายแดน ทัพเรือไปแล่นชูธงชาติใกล้ๆ หรือให้เครื่องบินเอฟ 5 เอฟ 16 ของกองทัพอากาศซ้อมบิน และทิ้งระเบิดในที่เหมาะๆ ก็เป็นการกดดันที่ทำได้ง่ายๆ เราไม่ได้บอกว่าให้เอาปืนไปไล่ยิง เพราะมีวิธีอื่นอีกถ้าทำด้วยความฉลาด กล้า ถ้าขี้ขลาดก็ไม่ต้องทำอะไร อยู่ไปวันๆ อย่างนี้
พล.ต.จำลอง ยังได้ตอบโต้ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ที่ระบุว่า ข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯไม่ได้ยึดแนวทางสันติ อหิงสา ตามที่ประกาศ ว่า เราอยู่กันด้วยความสันติ อหิงสา ไม่เช่นนั้นคงบุกเข้าทำเนียบตั้งแต่วันแรกแล้ว เพราะมวลชนก็มีความพร้อม คำว่า สันติ อหิงสาคือ ไม่สร้างความรุนแรง หากเราไปเผาบ้านเผาเมืองแล้วมากล่าวหาเราเช่นนี้ ก็ยอมรับ ตนเป็นนักปฏิบัติธรรม แต่เมื่อถึงเวลารบก็ต้องออกมาทำหน้าที่ ตนย้ำมาตลอดว่า 3 ข้อเรียกร้องนั้นไม่ได้ต้องการให้ไปรบราฆ่าฟันกับใคร
“คนบางคนตอนไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ก็ทำตัวอย่างหนึ่ง พอเป็นเปลี่ยนไปอีกอย่างหนึ่ง บางคนยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ด่าคนอื่นว่ากุ๊ย ตอนนั้นทั้งกายและใจเป็นคนไทย พอได้เป็นรัฐมนตรีกลายเป็นคนไทย หัวใจเขมร พูดอะไรเข้าทางกัมพูชาไปเสียหมด” พล.ต.จำลอง กล่าว
ด้าน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวถึงกรณีนี้ ว่า ขอย้ำอีกทีว่าแสนยานุภาพทางการทหารของประเทศไทย อยู่ลำดับที่ 28 ของโลก และอยู่ลำดับที่ 2 ของอาเซียน ซึ่งทางกัมพูชาไม่อยู่ในสารบบที่จะเทียบกับไทยได้ ดังนั้น แสนยานุภาพทางการทหาร สามารถใช้ได้ โดยไม่ต้องมีการรบจริง รวมทั้งการผลักดันไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทางสงครามเสมอไป สามารถทำได้หลายวิธี อาทิ การจับกุมคนที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด มาตรการทางภาษี การชักธงชาติไทยบริเวณชายแดน หรือการให้ตำรวจ-ทหารลาดตระเวนดูแลพื้นที่โดยติดอาวุธในพื้นที่ที่ถูกยึดครองขณะนี้ เพียงเท่านี้ก็เป็นการสำแดงอำนาจอธิปไตยของประเทศอย่างชอบธรรมแล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการยกระดับการชุมนุม พล.ต.จำลอง กล่าวว่า จะรอดูสถานการณ์ก่อนพิจารณาร่วมกันในที่ประชุม แนวทางของเรา คือ การชุมนุมปักหลักพักค้าง เราก็ทำอยู่ ซึ่งหลายคนจับตาดูว่าเราจะยกระดับเมื่อไร เพราะอาจไม่ทันใจบางคน เพราะเราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนกองทัพธรรมก็เป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรฯอยู่ ไม่ได้แยกกัน
เมื่อถามต่อถึงกระแสข่าวการปฏิวัติ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เวลาพันธมิตรฯออกมาชุมนุมทีไร มักมีข่าวว่าจะมีการปฏิวัติ ขอยืนยันว่า เราไม่ได้ชุมนุมเพื่อให้เกิดการปฏิวัติ หรือให้ยุบสภา เพราะเจตนาของเราเพียงแค่ให้รัฐบาลออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ส่วนใครจะปฏิวัติหรือยุบสภาเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของพันธมิตรฯ เพราะเราไม่ได้ไปหนุน หรือจับไม้จับมือกับใคร
“มีความพยายามนำมาเป็นประเด็นตีปลาหน้าไซว่าอย่าชุมนุมต่อไป เพราะอาจเกิดเหตุการณ์แทรกซ้อนมาแล้วมาโทษว่าเป็นเพราะการชุมนุม อย่าพยายามนำมากดดันให้เรายุติการชุมนุม วันก่อนมี 4 นายตำรวจระดับนายพล มาดูพื้นที่การชุมนุม อ้างว่ามาดูแลการจราจร ผมก็ได้บอกไปว่าถ้าจะมีขอพื้นที่คืนให้ไปเอาคืนจากกัมพูชา” พล.ต.จำลอง กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า มีกระแสข่าวว่า แกนนำพันธมิตรฯได้เจรจากับนายพล ป.เพื่อทำการปฏิวัติ พล.ต.จำลอง ปฏิเสธว่า ไม่ทราบเรื่อง พร้อมบอกว่า ที่ผ่านมาก็มีการคุยกับทหารทั้ง พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ และ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ที่มาร่วมเคลื่อนกับกลุ่มพันธมิตรฯอยู่แล้ว หรือว่าเป็นพันธมิตรฯห้ามคุยกับทหาร ถ้าอย่างนี้ นายปานเทพ ก็คงคุยกับตนไม่ได้เช่นกัน ส่วนกระแสข่าวปฏิวัตินั้นตนไม่ทราบ ไม่มีการประเมินข่าวเรื่องนี้กัน เพราะมีเพียงกระแสข่าวที่ทราบจากสื่อมวลชนเท่านั้น การที่ว่า พันธมิตรฯมาเปิดช่องนั้นก็ไม่เป็นความจริง เนื่องจากเรามาทำหน้าที่ของคนไทยเท่านั้น
ด้าน นายปานเทพ กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้ต่างจากการชุมนุมเมื่อปี 49 และ 51 นั้นมีเป้าหมายที่แตกต่างกับครั้งก่อน เพราะครั้งนั้นเรามีเป้าหมายในการขับไล่รัฐบาล แต่ครั้งนี้เราเรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่เพียงผลประโยชน์และอธิปไตยของชาติเท่านั้น ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นรัฐบาลขั้วอำนาจไหน หรือระบบใด เราก็จะมีจุดยืนในประเด็นเดิม