“สดศรี” ขานรับนายกฯ จัดเลือกตั้งได้ไม่ต้องรอ กม.ลูกเสร็จ เหตุร่าง รธน.ให้อำนาจ เชื่อ หากคุมสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองได้ คาด เลื่อนจัดเลือกตั้งสิ้นปี ส่วนกรณีสถานะ “พนิช” ไม่จบ หากโดดลงสนามเลือกตั้งอีก กกต.ต้องวุ่นวินิจฉัย เหตุ รธน.ระบุพ้นคุกไม่ถึง 5 ปี ห้ามลงสมัคร ย้ำ มีสิทธิ์โหวตลงมติแก้ รธน.ได้หรือไม่ ต้องรอคำวินิจฉัยศาลรธน.
วันนี้ (26 ม.ค.) นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีนายกรัฐมนตรีจะให้มีการจัดการเลือกตั้งโดยไม่รอการแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.แล้วเสร็จว่า ตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มีการระบุในท้ายร่างแก้ไขว่า ให้รัฐสภาเห็นชอบแก้ไขร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี แต่กรณีที่ยังไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ หากต้องมีการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป ให้ กกต.มีอำนาจออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการในการเลือกตั้ง ส.ส.ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อใช้บังคับกับการเลือกตั้งและให้ข้อกำหนดตามประกาศของ กกต.ใช้บังคับแทนบทบัญญัติแห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.ในส่วนที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการออกกฎหมายในลักษณะดังกล่าว
“ในส่วนของ กกต.ได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว ทั้งในเรื่องของการแบ่งเขตเลือกตั้ง ที่รัฐธรรมนูญให้มีการแบ่งเขตในลักษณะเดียวกับรัฐธรรมนูญปี 2540 ประกาศข้อกำหนดที่จะมีการออกเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการเลือกตั้ง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ ดังนั้น การที่นายกฯบอกว่าจะยุบสภา และจัดการเลือกตั้งในเดือน เม.ย.นั้น คิดว่า ไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ แต่ในระหว่าง 2 เดือนนี้หากมีการผลักดันแก้ไขร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.ซึ่งกกต.ได้เตรียมไว้ทั้งหมด 25 มาตรา จนผ่านการพิจารณาก็ไม่ต้องมีการออกประกาศมาใช้”
นางสดศรี ยังเชื่อว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้หากนายกฯสามารถควบคุมไม่ให้เกิดการบานปลาย ก็อาจจะไม่มีการยุบสภาเกิดขึ้นก่อน โดยน่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปี แต่ถ้าควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ก็อาจจะมีการเลือกตั้งเร็วขึ้น โดยการเลือกตั้งจะอยู่ในช่วง เม.ย.หรือ พ.ค.แต่ กกต.ก็ไม่อยากให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งในช่วงเทศกาล ซึ่งจะพยายามหลีกเลี่ยงเทศกาลสงกรานต์ เพราะอาจจะมีการฉวยโอกาสแจกสิ่งของต่างๆ หรือขนคนไปลงคะนน อาจทำให้เกิดปัญหาการร้องเรียนขึ้นได้
นางสดศรี ยังกล่าวถึงกรณี นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุก 9 เดือน และรอลงอาญา ได้ร่วมโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า จะทำให้การโหวตดังกล่าวมีปัญหาหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องรอการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีหลายประเด็น ทั้งกรณีคำตัดสินของศาลกัมพูชาอยู่ในความหมายของคำว่า ศาล ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ การที่ไม่มีการยื่นอุทธรณ์จะถือว่าคดีเป็นที่สิ้นสุดหรือไม่ และความผิดดังกล่าวถือเป็นความผิดลหุโทษตามมาตรา 106(11) หรือไม่ รวมทั้งหากพ้นจากการเป็น ส.ส.จะพ้นเมื่อใด ซึ่งถ้าผลคำวินิจฉัยออกมาว่าพ้นจากการเป็น ส.ส.ก็ไม่มีผลให้ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นโมฆะ แต่จะมีผลเฉพาะเสียงโหวตของนายพนิชเท่านั้น โดยขณะที่โหวตเรื่องยังไม่ถึงศาลรัฐธรรมนูญ นายพนิช ก็คงถือว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่สามารถโหวตได้ ทั้งนี้ กรณีของนายพนิช หากยังไม่มีความชัดเจนก่อนการยุบสภาเกิดขึ้น เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ และนายพนิช ลงสมัคร ส.ส.ก็จะเป็นปัญหาให้ กกต.วินิจฉัย ว่า นายพนิช มีสิทธิ์ลงสมัครหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 102(5) ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ที่ต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยพ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี จนถึงวันเลือกตั้งลงสมัครรับเลือกตั้ง
นางสดศรี ยังกล่าวถึงการเตรียมการสรรหา ส.ว.74 คน ที่จะครบวาระลงในวันที่ 18 ก.พ.นี้ ว่า ขณะนี้ได้มีการเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วน ส.ว.สรรหา ปัจจุบันที่ต้องการจะเข้ารับการสรรหาต้องลาออกจากการเป็น ส.ว.ก่อนหรือไม่นั้น กกต.เห็นว่า เป็นอำนาจวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหา ที่ทราบว่า จะมีการประชุมในเร็วๆ นี้ แต่ทั้งนี้ ก่อนเริ่มการประชุมเรื่องการสรรหา ทางกรรมสรรหาคงมีการพิจารณาในส่วนขององค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาที่ระบุให้มีประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เป็นหนึ่งในคณะกรรมการสรรหา เพราะในขณะนี้มีเพียง นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ทำหน้าที่รักษาการประธาน คตง.อยู่ จึงต้องพิจารณาว่าผุ้ทำหน้าที่รักษาการจะทำหน้าที่กรรมการสรรหาได้หรือไม่ หากเห็นว่าไม่สามารถทำได้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะการสรรหาใช้เสียงข้างมาก ทั้งนี้ ทราบจากประธาน กกต.ว่า คงจะมีผู้เข้ารับการสรรหาจำนวนมาก เนื่องจาก ส.ว.เลือกตั้งปี 42 ที่รัฐธรรมนูญห้ามเข้ารับการสรรหาในวาระเริ่มแรก สามารถเข้ารับการสรรหาในครั้งนี้ได้