“สุเทพ” เรียกบิ๊กหน่วยงานความมั่นคงถก แดง-พันธมิตรฯ ชุมนุม บิ๊กท็อปบูต รับห่วงมือที่ 3 ป่วน แต่ยังไม่พบความเคลื่อนไหว สั่งเข้มบุกรุกสถานที่ราชการ เผย “เทือก” ให้ “วิเชียร” ทำแผน รปภ.ส่วน ทบ.สั่งแม่ทัพภาค 1 เตรียมกำลังพร้อม รวมทั้งตั้งวอร์รูมดูสถานการณ์ ไม่ให้คลังอาวุธโดนปล้น
วันนี้ (21 ม.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง พร้อมด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานด้านการข่าว ได้ประชุมเพื่อสรุปสถานการณ์บ้านเมือง โดยเฉพาะเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่ง ชาติ (นปช.) ในวันที่ 23 ม.ค.นี้ และการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ในวันที่ 25 ม.ค.นี้
แหล่งข่าวนายทหารระดับสูง เปิดเผยว่า ที่ประชุมเป็นห่วงการชุมนุมของ นปช.และ พธม. เพราะเกรงว่าจะมีกลุ่มคน หรือมือที่ 3 สร้างสถานการณ์ทำให้เกิดความวุ่นวาย นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีการหารือถึงการเตรียมการรักษาความปลอดภัย เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 2 กลุ่มบุกรุกสถานที่ราชการ และบ้านพักบุคคลสำคัญต่างๆ ที่มีแนวโน้ม ว่า จะเป็นเงื่อนไขในการชุมนุมครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ทุกหน่วยข่าวรายงานว่า ขณะนี้ยังไม่พบการเคลื่อนไหวของกลุ่มมือที่ 3 ที่จะเข้ามาสร้างสถานการณ์ในระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม นปช.และ พธม.เพื่อทำให้เกิดความรุนแรง แต่หน่วยข่าวยังไม่ได้ประมาท และยังต้องเกาะติดสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะการดูแลรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการ บ้านเรือน และทรัพย์สินของประชาชน
“ที่ประชุม นายสุเทพ สั่งการให้ พล.ต.อ.วิเชียร จัดทำแผนการรักษาความปลอดภัย เพราะเกรงว่า การชุมนุมในช่วงเวลาใกล้กันจะทำให้เกิดปัญหาได้ โดยเบื้องต้นได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลจัดกำลังตำรวจเฝ้าระวัง ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะที่กองทัพบก ได้สั่งการให้ พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 จัดกำลังเพื่อเตรียมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล หากเกิดกรณีฉุกเฉินจะได้ส่งกำลังทหารเข้าไปช่วยระงับเหตุการณ์ได้ทันท่วงที นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์การชุมนุมอย่างใกล้ชิด ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) พร้อมทั้งสั่งการให้เข้มงวดเกี่ยวกับการดูแลคลังอาวุธ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกปล้นเหมือนครั้งที่ผ่านมา
