แม่ทัพภาค 1 ยันชายแดนไทย-เขมร ฝั่งสระแก้ว ยังเรียบร้อยดี ปัดเพื่อนบ้านเสริมกำลัง บอกเช็กแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ค้านม็อบคนไทยฯ บุกไปชายแดนอีก หวั่นเกิดผลเสีย ทำอีกฝ่ายขยับตาม ชี้ รัฐบาลและกองทัพแก้ปัญหาน่าพอใจแล้ว ยัน “ประยุทธ์” เร่งประสานงานต่อ ฉะพันธมิตรฯ ชุมนุม 25 ม.ค.ไม่จำเป็น อ้างรัฐรู้แล้ว เดี๋ยวชาวบ้านเดือดร้อน
วันนี้ (19 ม.ค.) ที่ พล.ม.2 รอ. พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปร่วมกับคณะของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก พร้อมด้วย คณะกรรมการมูลนิธิฯ อาทิ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานคณะที่ปรึกษา ทบ.และ พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก เพื่อลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในโครงการต่าง ที่มูลนิธิฯได้ดำเนินการ ในพื้นที่ จ.จันทบุรี ว่า สถานการณ์ชายแดนทางด้าน จ.สระแก้ว เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เมื่อเช้าวันที่ 19 ม.ค.ได้มีการตรวจสอบความเคลื่อนไหว พบว่ายังอยู่ในขั้นปกติ แต่ได้เน้นย้ำให้กองกำลังบูรพาเข้มงวดในการตรวจพื้นที่ตามแนวชายแดน ไม่มีความผิดปกติ ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ส่วนข่าวการเสริมกำลังทหารกัมพูชาฝั่งตรงข้ามความรับผิดชอบของกองกำลังบูรพานั้น ตนมองว่าอาจไม่ใช่การเสริมกำลังเลยทีเดียว เพราะกัมพูชามีกำลังของหน่วยที่เขารับผิดชอบในพื้นที่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทหารประจำ จังหวัดบันเตียเมียนเจย หรือกำลังพลที่ดูในภาพรวมในพื้นที่ด้านตรงข้ามกับกองกำลังบูรพา
“อาจจะมีบ้างที่เขานำเข้ามา แต่ว่าเป็นหน่วยเดิมที่รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนของเขาอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่มากนัก ผมตรวจสอบดูแล้วไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติอะไร เช่นเดียวกับในส่วนของกองกำลังบูรพา ก็มีกำลังพลอยู่ในกองกำลังบูรพาอยู่แล้ว หากจะเกิดเหตุการณ์ซึ่งจะดูว่าเป็นพิเศษ บางครั้งบางคราว กองกำลังบูรพาก็จะใช้กำลังพลของเราเอง ซึ่งมีส่วนที่ปฏิบัติการอยู่ที่แนว และ ส่วนที่อยู่ด้านใน ก็จะใช้กำลังด้านในออกมา ลาดตระเวนเสริมเพิ่มเติมบางครั้ง ถือเป็นส่วนในการแก้ไข ไม่ได้มีการเพิ่มเติม เป็นการทำหน้าที่ให้ครบถ้วน ช่วยเสริมในจุดการปฏิบัติที่ปกติ รวมถึงการทำหน้าที่ในการเฝ้าระวังภัยคุกคามด้านต่างๆ เช่น ยาเสพติด ผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ”พล.ท.อุดมเดช กล่าว
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายยังกังวลว่า กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ อาจจะไปเคลื่อนไหวชุมนุมที่ชายแดนอีกครั้งนั้น พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาที่รัฐดำเนินการไปนั้น ได้ทำอย่างรอบคอบ และเป็นไปตามลำดับขั้น ซึ่งความรับผิดชอบในระดับรัฐบาล และ ผู้บังคับบัญชาระดับสูง จะมองด้านเดียวไม่ได้ แต่คงต้องทำด้วยความเหมาะสม ถูกต้อง ถ้าแนวรวมกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ได้ติดตามดู น่าจะเป็นที่เข้าใจว่า ไม่มีใครทอดทิ้งปัญหานี้ จึงคิดว่าการจะเดินทางไปที่ชายแดน ไม่น่าจะทำ และเดินทางไปแล้วคงไม่ทำให้เกิดผลดี อาจจะทำให้เกิดผลเสียด้วยซ้ำไป
“จะเห็นได้ว่า เมื่อมีข่าวว่า กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ จะไปที่บริเวณชายแดน ข่าวนั้นจะไม่ได้อยู่ในส่วนของประเทศไทยเท่านั้น แต่จะไปถึงฝั่งตรงข้ามด้วย ซึ่งอันนี้จึงทำให้เกิดความเคลื่อนไหวของกำลังที่กลัวว่ากลุ่มม็อบจะข้ามแดนไป ซึ่งเราเองก็พยายามทำความเข้าใจว่า จะไม่เป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นข่าว ก็จะทำให้อีกส่วนหนึ่งเขามีการขยับตัวเคลื่อนไหว ทำให้ดูแล้วไม่เกิดผลดีอะไรนัก เพราะฉะนั้น ก็หวังว่าการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาของรัฐบาลและกองทัพ ก็น่าจะเป็นที่พึงพอใจแล้ว ไม่ควรเข้าไปในพื้นที่อีก” พล.ท.อุดมเดช กล่าว
แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวต่อว่า ในขณะนี้คงเลยขั้นตอนที่ตนจะไปพูดคุยกับ พล.ท.บุญ เซ็ง ผบ.ภูมิภาคที่ 5 ของกัมพูชา ในเรื่องเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากกรณี 7 คนไทยถูกจับแล้ว คงเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาระดับเหนือขึ้นไป และรัฐบาล คงจะเจาจาพูดคุยช่วยเหลือ ตามลำดับ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ระบุแล้วว่า ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงทางทหารของไทยได้ช่วยเหลือมาตลอด ทำอย่างดีที่สุดแล้วตั้งแต่ต้น และ ปัจจุบันนี้ท่านก็พยายามจะประสานงานอยู่ และคงทำต่อไป ไม่ได้ละทิ้งความสำคัญตรงจุดนี้ เพราะเห็นใจทุกท่านอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ได้เตรียมการดูแลสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นัดชุมนุมใหญ่วันที่ 25 ม.ค.นี้อย่างไร พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า การแก้ไขที่ทำไปแล้วก็น่าจะเป็นที่พึงพอใจ ถ้าเป็นไปได้ วันที่ 25 ม.ค.นี้ที่นัดหมายกันก็ไม่มีความจำเป็น การที่อยากให้รัฐบาลรับรู้อะไร ก็คงได้รับรู้ไปแล้ว ถ้ากลุ่มผู้ชุมนุมแสดงไปแล้วสร้างความเดือดร้อน และกีดขวางการจราจร ก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น มีสถานที่หลายแห่งเป็นสถานที่สาธารณะซึ่งน่าที่จะใช้ได้ อยากให้พิจารณาตรงนั้น แต่ถ้าทำอย่างที่ประกาศไป ก็น่าจะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในส่วนของทหารก็เฝ้าติดตามสถานการณ์ คิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคงดูแลได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากลุ่มที่จะไป คงเข้าใจ น่าจะมีการพิจารณาสถานที่ไม่ให้เดือดร้อนกับคนทั่วไปด้วย