“เทพไท” เชื่อเพื่อไทยยังไม่ตกผลึกตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ ชี้แค่ดิสเครดิตกันเองไปมา หยัน “ปลอด” หวังหาหัวใหม่แค่หล่อสวย บอกต้องมีสมองและอุดมการณ์ด้วย ชี้ท้ายุบสภาแค่ปากกล้าขาสั่น - ยัน กมธ.แก้รัฐธรรมนูญลดสัดส่วน ส.ส.เขตไม่ทำให้ได้เปรียบเลือกตั้ง ฉะฝ่ายค้านส่อหนุนโหวตกลับใช้ ส.ส.400 ต่อ 100 แค่เกมเสี้ยมตีพรรคร่วม แนะเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคจับฉ่าย
วันนี้ (6 ม.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อถึงกรณีพรรคเพื่อไทยปรับเปลี่ยนโครงสร้างและบุคลากรภายในพรรคใหม่ว่า พรรคเพื่อไทยยังมีความคิดเห็นไม่ตกผลึก โดยเฉพาะในกรณีหาคนมาเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งมีการดิสเครดิตระหว่างกลุ่ม โดยกลุ่มที่เชลียร์นายใหญ่ก็สนับสนุน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนิดสุดลิ่มทิ่มประตูหวังจะสร้างประวัติศาสตร์ให้มีนายกฯ หญิงเป็นคนแรก ในขณะที่กลุ่มของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ก็ออกมาอ้างสัญญาณไฟเขียวจากนายใหญ่ว่าเปิดโอกาสให้นายมิ่งขวัญได้แสดงฝีมือแล้ว ด้านกลุ่มของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยก็ส่งลูกน้องให้ออกมาสัมภาษณ์ผ่านสื่อในลักษณะตีกันตลอดเวลา และอีกบางส่วนบางกลุ่มก็โยนหินถามทาง ปล่อยชื่อนายวีรพงษ์ รามางกูร ออกมาสร้างกระแสเพื่อฟอกตัวให้หลุดพ้นจากข้อหาเรื่องความไม่จงรักภักดี
นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม ส.ส.ที่หวังไต่เต้าและหวังฟลุกทางการเมืองเหมือนกรณีนายสมัคร สุนทรเวช เช่น นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา ล้วนแต่แต่แอบฝันหวานที่จะเสียบเป็นหัวหน้าพรรคเช่นเดียวกัน ส่วนที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยระบุว่าจะหาผู้สมัคร ส.ส.หน้าใหม่ที่มีบุคลิกดี หล่อ สวยลงสมัครเลือกตั้งเหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยทำสำเร็จมาแล้วนั้น ตนเห็นว่าการเป็นนักการเมืองหน้าตาไม่ใช่เรื่องสำคัญ นักการเมืองที่ดีต้องมีอุดมการณ์และสมอง ไม่ใช่หล่อและบุคลิกดีเพียงอย่างเดียว คนหน้าตาดีในพรรคเพื่อไทยก็มีมากหลายคน แต่จะมีสมองหรืออุดมการณ์หรือไม่ ต้องไปค้นหาเอาเอง ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะลงสู่สนามเลือกตั้งแต่อย่างใด การประกาศท้าทายให้รัฐบาลยุบสภาโดยเร็วจึงเป็นแค่การสร้างภาพและหวังผลทางการเมืองเท่านั้น ทั้งที่ความเป็นจริงก็แค่พวกปากกล้าแต่ขาสั่น
นายเทพไทในฐานะคณะกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ยังกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ถึงกรณีที่มีเสียงวิจารณ์ว่า การใช้สูตรสัดส่วนจำนวน ส.ส.ในระบบเลือกตั้งส.ส.เขต 375 เขตและ ส.ส.สัดส่วนจำนวน 125 คน จะทำให้ลดจำนวน ส.ส.ระบบเขตลงถึง 25 คนใน 24 จังหวัด ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างพรรคการเมืองว่า เรื่องนี้ไม่มีความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างพรรคการเมือง การลดจำนวน ส.ส.เขตลง 24 คนก็กระจายไปทั่วทุกภาคของประเทศตามสัดส่วนที่ไล่เลี่ยกัน การกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์เพราะในภาคใต้ มีการลดจำนวน ส.ส.เพียง 4 คนนั้นก็ไม่เป็นความจริง ถ้าดูตัวเลขจำนวน ส.ส.แต่ละภาค กับจำนวนเขตที่ลดลง โดยสัดส่วนแล้วมีความใกล้เคียงกัน เช่น พื้นที่ กทม. มี ส.ส.36 คน ลดลง 2 คน ภาคเหนือ มี ส.ส.76 คน ลดลง 7 คน ภาคอีสานมี ส.ส.136 คน ลดลง 9 คน ภาคใต้มี ส.ส.50 คน ลดลง 4 คน เมื่อดูตัวเลขแล้วก็ไม่มีพรรคใดได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยออกมาผสมโรงว่าจะกลับลำโหวตหนุนรูปแบบ 400 ส.ส.เขต และ 100 ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์นั้นก็เป็นเรื่องของเกมการเมือง ที่ยุยงให้เกิดความแตกแยกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล พรรคเพื่อไทยไม่ได้เข้าร่วมการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ต้น ไม่ได้ลงมติรับหลักการในวาระแรก ไม่ร่วมเป็นกรรมาธิการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2550 และระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการชุดนี้ได้เชิญหัวหน้าพรรคเพื่อไทยมาแสดงความคิดเห็น ก็ไม่ได้รับความร่วมมือแต่อย่างใด แต่วันนี้ยังมีหน้ามาประกาศว่าไม่วอล์กเอาต์ในวาระที่ 2 และ 3 พร้อมกับจะยกมือหนุนสูตรดังกล่าวด้วย แต่ขณะเดียวกัน โฆษกพรรคเพื่อไทยกลับประกาศว่าจะไม่ร่วมสังฆกรรมและไม่ออกเสียงในวาระที่ 2 และ 3 ไม่ว่าเรื่องที่มาของ ส.ส.จะเป็นอย่างไร จึงขอถามถึงจุดยืนของพรรคเพื่อไทยว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ คนที่ออกมาแสดงความเห็นเหล่านี้ยังเป็นคนของพรรคเพื่อไทยสังกัดพรรคเดียวกันหรือไม่ หรืออยู่คนละกลุ่มกัน หากเป็นคนพรรคเดียวกันแล้วคิดกระจัดกระจายตามกลุ่มใครกลุ่มมันเช่นนี้ก็ควรเปลี่ยนชื่อพรรคใหม่ว่าพรรคจับฉ่ายแทนจะดีกว่า