ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับจับแต่งตัวใหม่โดยอาจารย์สมบัติ ธำรงค์ธัญวงศ์ ผ่านขั้นตอนการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการฯเป็นที่เรียบร้อยด้วยคะแนนสุดหวิวในประเด็นระบบเลือกตั้ง 18 ต่อ 17 เสียง
ส่งผลให้เนื้อหาของกรรมาธิการฯยังคงเป็นไปตามร่างเดิมที่ผ่านหลักการในวาระแรก คือ ส.ส.เขต 375 และ ส.ส.สัดส่วน 125 ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาในวาระสองต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์เองก็ต้องกลับไปขันน็อตพรรคพวกเดียวกันให้มีความพร้อมมากกว่านี้
เพราะในวันที่จะต้องลงมตินัดสำคัญ วิทยา แก้วภราดัย ซึ่งเป็นประธานวิปรัฐบาลแท้ ๆ กลับขาดประชุม ทำให้เกือบเพลี่ยงพล้ำเสียท่าให้กับพรรคร่วมรัฐบาล ยังมี บุญยอด สุขถิ่นไทย อีกคนที่ไม่ได้อยู่ร่วมลงคะแนนชี้ชะตาเรื่องระบบเลือกตั้ง
โชคดีที่ เทอดพงษ์ ไชยนันท์ ซึ่งรับหน้าเสื่อเป็นประธานกรรมาธิการฯมีความเก๋ามากพอที่จะใช้สิทธิลงมติตัดสินในฐานะประธานหลังคะแนนโหวตเท่ากันที่ 17 ต่อ 17
โดยไม่ฟังเสียงทัดทานของเพื่อนเก่าอย่าง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
ประเด็นที่น่าติดตามคือ การตีรวนระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา พรรคร่วมรัฐบาลจะเดินเกมรุนแรงแค่ไหน ซึ่งหากดูจากอาการของปลาไหลเฒ่า บรรหาร ศิลปอาชา ก็คงจะพอมองออกว่า ความไม่พอใจนั้นมีเต็มเปี่ยม และเชื่อได้ว่า
คงดิ้นพล่านสุดฤทธิ์ ล็อบบี้เต็มกำลังเพื่อให้ได้ตามความต้องการของตัวเอง ซึ่งไม่ได้มีส่วนใดที่ต่อสู้เพื่อประโยชน์ของประชาชนแม้แต่นิดเดียว
ข้ออ้างอันน่าสะอิดสะเอียนของ “ปลาไหลเฒ่า”ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ในการทวงบุญคุณว่าเป็นความดีความชอบของตัวเองที่ผลักดันจนเกิดรัฐธรรมนูญปี 40 จึงเป็นความชอบธรรมที่จะสนับสนุนให้กลับไปใช้ระบบเลือกตั้งเช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูยปี 2540 นั้น
ถือเป็นภาพสะท้อนของนักเลือกตั้งโดยแท้ เพราะข้อเท็จจริงคือพรรคชาติไทยในขณะเป็นรัฐบาลไม่ได้อยากให้มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ทานกระแสเรียกร้องจากประชาชนที่ต้องการให้มีการปฏิรูปการเมืองไม่ไหว จึงร่วมวงโหนกระแสด้วย มิได้เกิดจากจุดยืนหรืออุดมการณ์ทางการเมืองแต่อย่างใด
ตลกร้ายอีกรายคือชาละวันเมืองพิจิตร อย่าง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ยังมึนงงกับถนนสายปรองดองก็มาร่วมวงไพบูลย์กับเขาด้วย แถมยังมีตรรกกะที่ชวนสับสนด้วยการกล่าวอ้างในกรรมาธิการฯว่า
เรื่องของรัฐธรรมนูญถือเป็นการพิจารณาของรัฐสภาไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลแล้ว แต่พอเห็นท่าว่าหากมีการลงมติจะแพ้โหวตไม่ได้ตัวเลข 400 ต่อ 100 อย่างที่ต้องการ กลับเสนอว่าไม่ควรลงคะแนนเสียงให้แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลได้ไปหารือกันก่อน
ถือเป็นความขัดแย้งในตัวเองอย่างสิ้นเชิง เพราะพล.ต.สนั่น บอกเองว่าไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แล้วทำไมต้องให้แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไปคุยกัน จะเห็นได้ว่าเป็นการหยิบยกเหตุผลเพียงเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์โดยไม่ได้มีหลักการใด ๆ ทั้งสิ้น
นอกจากยึดมั่นใน “หลักกู”ที่กูต้องการเท่านั้น
สถานการณ์รัฐธรรมนูญในวันนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่เปลือยธาตุแท้ของนักเลือกตั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า พวกเขามีประชาชนเป็นข้ออ้างบนการแสวงหาประโยชน์ให้กับตัวเองอย่างสม่ำเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง
และนอกจากจะไม่ช่วยลดเงื่อนไขทำให้บ้านเมืองหลุดพ้นจากวังวนแห่งความขัดแย้งและความล้มเหลวทางการเมืองแล้ว ยังเป็นตัวจักรสำคัญที่สร้างความเหลวแหลกทางการเมืองจนส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้คนที่มีต่อระบบรัฐสภาด้วย
สถานภาพของพรรคร่วมรัฐบาลหลังจากนี้ไม่คิดว่า จะมีอะไรที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แม้จะต่อสู้กันหนักในการพิจารณาวาระสอง แต่เชื่อว่าไม่ว่าข้อยุติจะออกมาในทิศทางใด สุดท้ายประเทศไทยก็ยังมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาลโดยองค์ประกอบของพรรคร่วมมิได้เปลี่ยนแปลงไป
การจับมือกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย จึงเป็นเพียงแค่การผสมพันธุ์ชั่วคราวเพราะสมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย พรรคร่วมรัฐบาลได้คะแนนเพิ่ม ส่วนพรรคเพื่อไทยได้เตะตัดขาพรรคประชาธิปัตย์
นี่แหละวิธีคิดของนักเลือกตั้งที่ไม่เคยมีประชาชนอยู่ในหัวใจ แล้วเมื่อไหร่คนไทยจะกวาดล้างคนพวกนี้ออกจากถนนการเมืองเสียที