นัก กม.แนะระวังไทยจะถูกศาลเขมรปิดปาก ซ้ำรอย “พระวิหาร”

นัก กม.ชี้เขมรเดินเกมลึกบีบคนไทยสารภาพ หวังใช้เป็นเครื่องมือปิดปากรัฐไทย เหมือนกรณีเสียปราสาทพระวิหารบนศาลโลก ขณะที่นักวิชาการมองแม้รัฐบาลแสดงท่าทีอย่างไร แต่ยังมีมาตรา 190 ต้องผ่านเห็นชอบจากรัฐสภาเป็นกลไกสุดท้าย

นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้ความเห็นกรณีที่นักกฎหมายวิเคราะห์ว่า หากคนไทยทั้ง 7 คนรับสารภาพก็จะไม่มีผลผูกพันกับประเทศไทยว่าในข้อเท็จจริงถึงแม้จะเป็นเรื่องบุคคลที่ไม่ผูกพันกับรัฐบาล เพราะถือเป็นความเข้าใจของบุคคลนั้นๆ เอง แต่กรณีนี้ต้องมองให้ลึกว่าเป็นการเดินเกมของรัฐบาลกัมพูชา ที่หลีกเลี่ยงไม่ใช้กลไกการเจรจาต่อรองระหว่างรัฐกับรัฐ ตามที่เคยตกลงกันไว้เมื่อเกิดปัญหาเรื่องเขตแดน แต่กลับใช้วิธีนำคดีขึ้นศาล เพื่อบีบให้มีการรับสารภาพ ทั้งที่สามารถให้ประกันตัวออกมาได้ทันที และใช้กลไกอื่นในเรื่องเขตแดนเพื่อยุติปัญหานี้ได้โดยง่าย

ที่สำคัญคือ ท่าทีของรัฐบาลไทยที่แสดงออกโดยการแถลงถึงการรับรู้ข้อกล่าวหา และยอมรับว่ามีการรุกล้ำเขตแดนมาตั้งแต่ต้น รวมถึงการที่มี ส.ส.พรรครัฐบาลไปถูกจับกุมด้วย จะทำให้เกิดผลกระทบที่หนักกว่าการที่คนไทยทั้ง 7 คนให้การรับสารภาพในศาลกัมพูชาเสียอีก เพราะถือเป็นคำรับรองของรัฐบาลซึ่งจะทำให้ไทยเสียเปรียบในเวทีโลก เหตุการณ์จะย้อนรอยเหมือนครั้งที่รัฐบาลไทยไม่โต้แย้งคำพิพากษาของศาลโลกกรณีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจาเรื่องเขตแดนเรื่อยมา

ก่อนหน้านี้ นายพนัส ทัศนียานนท์ คณบดีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การที่จะผูกมัดรัฐบาลไทยได้ ต้องเป็นการแสดงท่าทีจากผู้ที่ได้รับมอบอำนาจเต็ม เช่น เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ได้รับการมอบหมายโดย มติ ครม. และเมื่อไปทำหน้าที่แสดงท่าทีอย่างไรแล้ว ก็ยังมีกฎหมายมาตรา 190 ตามรัฐธรรมนูญ ว่าต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาอีก ดังนั้น การที่ทั้ง 7 คนจะให้การอย่างไรก็ไม่สามารถผูกพันผูกมัดรัฐไทยได้ ซึ่งในวันขึ้นศาลทั้ง 7 คนสามารถให้การแตกต่างกันอย่างไรก็ได้ ถ้าให้การปฏิเสธศาลเขาก็สืบพยานหลักฐานต่อไป ถ้าให้การยอมรับศาลก็พิพากษาได้ทันที