“ผ่าประเด็นร้อน”
การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่กระทำภายใต้ความต้องการของ ทักษิณ ชินวัตร มีเป้าหมายเพื่อกดดันให้ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาหรือลาออกในทันที แต่จากการชุมนุมมาจนถึงวันนี้( 23 มี.ค.) เวลาก็ผ่านไป 12 วันยังไม่สามารถดำเนินให้เป็นผลสำเร็จได้
เนื่องจากยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านส่วนใหญ่เท่าที่ควร มิหนำซ้ำการระดมมวลชนเข้าร่วมชุมนุมครั้งนี้ยังเต็มไปด้วยข้อเท็จจริงในเรื่องการเกณฑ์ การจ้างวานอยู่ตลอดเวลา ที่ผ่านมามีการประโคมข่าวว่าจะมีคนเข้าร่วมเป็นล้าน แต่เอาเข้าจริงมีจำนวนไม่ถึงแสนคน และนับวันมีแต่จำนวนลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
การประกาศทำสงครามชนชั้นระหว่าง “ไพร่” กับ “อำมาตย์” เพื่อหวังแนวร่วมจากคนยากจนทั่วประเทศเอาเข้าจริงก็ไปไม่ถึงไหน แรกๆ ก็ดูมันและเร้าใจดี เพราะเป็นคำพูดที่ดูเหมือนจะย้อนกลับไปสู่บรรยากาศในยุค “แสวงหา” ช่วงการต่อสู้ทางลัทธิความเชื่อคอมมิวนิสต์กับทุนนิยม จักรวรรดินิยมเมื่อปี 2516-2519 แต่ทำไปทำมามุกปลุกระดมแบบนี้มันก็แป๊กอีก
เพราะนอกจากมันเป็นคนละยุคที่ข้อมูลข่าวสารมันกระจายได้รวดเร็ว สังคมรู้ทัน และที่สำคัญส่วนใหญ่หยุดคิดได้ว่า ไอ้ตัวที่สถาปนาหรือถูกชูให้เป็น “หัวหน้าไพร่” คือ ทักษิณ ชินวัตร ตามนัยที่กล่าวหาคนอื่นอยู่นั้น ตัวเองนั่นแหละคือ “โคตรมหาอำมาตย์” แถมยังถูกตั้งคำถามแบบเจ็บแสบอีกว่า หัวหน้าไพร่นักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ทำไมถึงมีคุณสมบัติพิเศษดันร่ำรวยมีทรัพย์สินเป็นแสนๆล้านบาท ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยอยู่ต่างประเทศ ผิดกับไพร่ที่นอนอยู่เกลื่อนถนนราชดำเนินอย่างลิบลับ
การจุดกระแสเรื่องชนชั้นก็ไปไม่ได้ แม้ว่าอาจได้ผลบ้างกับบางคนที่ยังไม่เข้าใจเล่ห์เหลี่ยมของหัวหน้าม็อบและแกนนำ แต่นาทีนี้เท่าที่ประเมินยังไม่เห็นการรวมพลังเพื่อขับไล่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้พ้นจากตำแหน่ง หรือต้องการให้ยุบสภาแต่อย่างใดไม่
พิสูจน์ชัดจากการเคลื่อนขบวนของคนเสื้อแดงเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แม้จะดูว่ามีคนเข้าร่วมเป็นขบวนยาวเหยียดก็ดี แต่ก็ไม่มีจำนวนมากพอและในที่สุดก็ได้แยกย้ายกันกลับ เพราะปฏิเสธความจริงไม่ได้ก็คือมีการเกณฑ์ การจ้างผ่านทางระบบหัวคะแนนของพรรคเพื่อไทยกันอย่างเต็มที่ เพื่อ “สร้างกระแส” แต่ก็ยังจุดไม่ติด
อย่างไรก็ดี สิ่งที่หลายฝ่ายเริ่มรับไม่ได้ก็คือ การไม่ยอมรับช่องทางเจรจาเพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมืองร่วมกัน โดยฝ่ายรัฐบาลคือ นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้มีการพูดคุย มีการเสนอกรอบเจรจาผ่านตัวแทน แต่ฝ่ายที่ตัดสินใจบอกปัดโดยทันทีกลับเป็น ทักษิณ ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง และศาลตัดสินให้จำคุก รวมทั้งมีคดีติดตัวมากมายเป็นผู้ตัดสินใจแทนทุกอย่าง
กลายเป็นว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงในครั้งนี้มีคำตอบอยู่ชัดเจนแล้วว่าทำเพื่อประสงค์ของคนเพียงคนเดียว เพื่อให้ตัวเองได้ทรัพย์สินและอำนาจคืนมาเท่านั้น โดยที่ไม่ต้องยอมรับโทษใดๆทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องเรื่องประชาธิปไตย กลายเป็น “อภิสิทธิชน” ทำตัวเหนือกฏหมายที่แท้จริง
เมื่อพิสูจน์ชัดแล้วว่า การชุมนุมที่กำลังเกิดขึ้นกำลังเรียกร้องเพื่อประโยชน์ของคนเพียงคนเดียว แต่กำลังสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมอีกส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯที่เสมือนถูกจับเป็นตัวประกันมานาน และไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร ดังนั้น สังคมอีกส่วนหนึ่งก็ย่อมมีสิทธิ์เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด เพราะแม้ว่าจะมีสิทธิ์ในการเรียกร้องชุมนุมแต่ต้องมีความชอบธรรมและเพื่อส่วนรวมเท่านั้น
การชุมนุมที่กำลังดำเนินไปอย่างยืดเยื้อ โดยการกีดขวางเส้นทางจราจรบนถนนราชดำเนินกลางซึ่งเป็นเส้นทางหลักทำให้เกิดความเดือดร้อนกับประชาชนต่อเนื่องเป็นบริเวณกว้าง ประกอบกับยังมีท่าทีที่จะไปคุกคามกดดันพื้นที่อื่นๆ ในกรุงเทพมหานครอยู่ตลอดเวลา โดยใช้วิธีปลุกระดมจากข้อมูลส่วนใหญ่อันเป็นเท็จ
จากพฤติกรรมของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ชอบธรรมและสร้างความเดือนร้อนรำคาญดังกล่าว ก็น่าจะทำให้มีเหตุผลเพียงพอที่รัฐบาลจะต้องหันมาบังคับใช้กฎหมายกับบรรดาแกนนำทั้งหลายที่ยังยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ในเงื่อนไขการประกันตัวจากคดีก่อจลาจลเมื่อเดือนเมษายน 2551
แม้ว่าพิจารณาจากแนวโน้มแล้วว่าภายในสัปดาห์นี้รัฐบาลน่าจะดำเนินการตามกฎหมายกับแกนนำบางคน หากนำมวลชนไปปิดล้อมสถานที่ราชการ หรือคุกคามสถานที่ส่วนตัว โดยยึดแนวทางตามคำสั่งของศาลปกครองเมื่อวันที่ 9 ต.ค.2551
เพราะหากรัฐบาลไม่ดำเนินการนอกจากจะทำให้สูญเสียความเชื่อมั่น และนายกรัฐมนตรีจะสูญเสียสถานะความเป็นผู้นำแล้ว บ้านเมืองก็จะตกอยู่สภาพความเป็นอนาธิปไตย ไร้ขื่อแป การข่มขู่คุกคามก็จะมีให้เห็นอย่างต่อเนื่องมากขึ้นไปอีก ซึ่งไม่เป็นผลดี
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำรัฐบาลต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด ตามมาตรฐานสากลโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน เพื่อนำความสงบกลับคืนมาโดยเร็ว เพราะถึงเวลาแล้วที่จะต้องดำเนินการกับผู้ที่ทำผิดกฎหมายอย่างจริงจัง โดยเสมอหน้ากัน และต้องทำเดี๋ยวนี้ก่อนที่ประชาชนจะทนไม่ไหวลุกขึ้นมาจัดการกันเอง!!