ปรากฏการณ์ปล้นอาวุธคลังแสงค่ายกองพันทหารช่างที่ 401 จ.พัทลุง ค่ายอภัยบริรักษ์หรือค่ายโคกสูง ส่งผลกระทบให้กองทัพตกเป็นเป้าสายตาของสังคมวงกว้าง พร้อมทั้งเกิดคำถามตามมามากมาย
บ้างก็ว่า เป็นการสร้างกระแสข่าวของรัฐบาล เพื่อออกกฎหมายควบคุมสถานการณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง บ้างก็ว่า “เกลือเป็นหนอน”หรือทหารปฏิบัติการปล้นบ้านตัวเอง
ท้ายที่สุด “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ออกมาไขข้อข้องใจ ไปแบบน้ำขุ่นๆ “ทหารยักยอกเอาไปขาย”
ทั้งๆที่อาวุธที่หายไปนั้นมีทั้ง ระเบิดสังหารแบบเอ็ม 67 จำนวน 69 ลูก กระสุนปืนเอชเคและเอ็ม 16 อย่างละ 3,100 นัดคำตอบของ “บิ๊กป๊อก”ยังไม่คลายปมข้อสงสัยได้ทั้งหมด
เพราะปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้นแบบเงียบงัน คล้ายๆจะไม่มีผู้ต้องสงสัย หรือแม้กระทั่งร่องรอยของการงัด ที่มา ที่ไปของโจรนินจานี้ ยิ่งสะกิดต่อมสงสัยใคร่รู้ของผู้คน
เกิดคำถามขึ้นทันทีว่า “ทำไมจึงต้องเป็นค่ายโคกสูง” ค่ายเล็กๆของพัทลุง ซึ่งเป็นค่ายที่รองรับทหารเกณฑ์ไปฝึกเท่านั้น
ที่สำคัญประเด็น มันถูกจุดขึ้นมาในขณะที่การเมืองกำลังมีอุณหภูมิร้อนแรง นั่นยิ่งเป็นสิ่งที่น่าสงสัย
หากจะว่ากันไปแล้ว จ.พัทลุง มีสมรภูมิ ใกล้ถิ่นกำเนิดของ “ไข่มุกดำ” วีระ มุกสิกพงษ์ แกนนำหัวโจกของกลุ่มเสื้อแดง แต่ในพื้นที่ดังกล่าวผู้ที่หลงคารม “ไข่มุกดำ” มีไม่ถึงหยิบมือ ไม่เกินหลักร้อย
บวกกับศักยภาพของคนกลุ่มนี้ในการบุกเข้าไปในพื้นที่ทหาร เพื่อขโมยอาวุธสงครามจำนวนมากขนาดนั้น คงไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปได้ง่ายนัก ต่อให้เป็นนินจาก็ยังลำบากที่จะปฏิบัติการ “ฆ่าตัวตาย” แบบนี้
เหตุเพราะค่ายนี้ ตั้งอยู่โดดๆ ไม่ติดกับชุมชน มีทหารเฝ้าเวรยาม ถ้ามีใครหลงเข้าไปจะไม่ได้กลิ่นเชียวหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นชีวิตประชาชนที่ฝากไว้กับทหารก็คงต้องทบทวนอีกครั้งกับความปลอดภัย
ถ้าจะโยนให้เป็นฝีมือคนเสื้อแดง ก็คงจะให้ราคาศักยภาพสูงเกินไป
หากว่า เป็นการจัดฉากของรัฐบาล เพื่อให้สอดคล้องกับสมมติฐานของฝ่ายความมั่นคงที่จะมีการก่อวินาศกรรมก็ดูจะไร้น้ำหนัก เพราะค่ายทหารที่ใกล้กรุงเทพฯ มีอีกเยอะทำไมไม่เลือก
กระนั้นก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยมากขึ้น นั่นก็คือหลังจากเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่ในสื่อต่างๆ บริเวณดังกล่าวถูกสั่งปิดพื้นที่ในทันที
แม้แต่ตำรวจ หรือสื่อมวลชน ยังถูกห้ามเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด ไม่มีการตรวจสอบใดๆ กลายเป็นแดนสนธยา ที่จับต้องไม่ได้ ยิ่งทำให้สั่งคมเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการเปิดค่ายปล้นครั้งนี้ถูกหยิบขึ้นมาขยายผลทางการเมืองอย่างอึกทึกครึกโครม ขับเคี่ยวกันระหว่างรัฐบาล กับกลุ่มเสื้อแดง ชิงไหวชิงพริบกัน
ต่างฝ่ายต่าง “ปาขี้” ให้อีกฝ่ายรับไปแบบเต็มๆ
ฟากฝ่ายรัฐบาลมีผลพลอยได้จากปฏิบัติการดังกล่าว เพราะทุกอย่างมันสอดรับกับการข่าวที่จะมีการก่อวินาศกรรมในเมืองหลวง จะมีกลุ่ม “ฮาร์ดคอร์” เลือดสะตอขึ้นมาปฏิบัติการ ดูมีน้ำหนักมาเป็นข้ออ้างในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ คุมสถานกาการณ์ลากยาว 13 วัน ระหว่างวันที่ 11- 23 มี.ค.
ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดง ก็เกรงว่ารัฐบาลจะเอาอาวุธมาใช้กับกลุ่มเสื้อแดง ก็พลอยโหมกระพือให้กระตุ้นอารมณ์ให้ร้อนระอุ โหมไฟใส่สถานการณ์
นั่นก็เป็นเพียงเกมการเมืองที่ต้องการเอาชนะกัน แต่ถ้าความเป็นจริงมันตกอยู่ในมือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มันก็น่ากลัวว่าการชุมนุมจะมีสภาพอย่างไร อันตรายทั้ง 2 ทาง
แต่นั่นก็ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไกลตัวพอสมควร เพราะระยะทางจากพัทลุง – กรุงเทพฯ ระยะทางกว่า 800 กิโลเมตร การนำอาวุธสงครามเข้ามานั้นเมืองหลวง มันเป็นเรื่องง่ายกระนั้นหรือ นอกเสียจากว่าอาวุธสงครามในประเทศไทยมันหาซื้อง่ายเหมือนกล้วยทอดตามถนน
หากย้อนดูสถิติปฏิบัติการปล้นอาวุธจากคลังแสงของกองทัพไทย ซึ่งเคยเหตุการณ์ลักษณะอย่างนี้ซ้ำซาก ทุกยุคทุกสมัย แต่ครั้งที่ร้ายแรงคือเหตุการณ์ปล้นปืนที่นราธิวาส 2547 แต่ยังพอมีร่องรอยการต่อสู้กันของนายทหารเฝ้ายาม ที่ถูกยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์ปล้นปืนครั้งนั้น ทำให้เชื่อได้ว่าไม่ได้มีการสร้างสถานการณ์ขึ้นมา
จากนั้นก็มีเหตุการณ์คลังแสงที่นครราชสีมา ลพบุรีระเบิด โดยอ้างว่าสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทุกอย่างก็หายไปกับอากาศ อาวุธที่อยู่ในคลังแสงถูกแทงว่าเสียหาย และไม่สามรถตรวจสอบได้ว่าของเหล่านั้นมอดไหม้ไปพร้อมๆกัน หรือถูกลำเลียงไปไว้ที่ไหน
ทุกครั้งกองทัพชี้แจง แต่ไม่เคลียร์
ปฏิบัติครั้งนี้ ตอกย้ำทำให้เกิดข้อสงสัยในหน่วยปฏิบัติการลับ “จคบ” หรือ “โจรในเครื่องแบบ” ที่เปิดค่ายปล้นอีกครั้ง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ทหาร” รู้เห็น เนื่องจากมันเป็นพื้นที่ของทหาร การเฝ้าเวรหยาม จะเกิดจากข้อบกพร่องของนายเวร หรือความหย่อนยานของกองทัพ
ทหารออกต้องมายืดอกทำให้ทุกอย่างโปร่งใส ให้ประชาชนเกิดความเชื่อถือ
ฉะนั้นต้องไล่เรียงมาตั้งแต่ระดับนายเวร ผู้นำกองพันเป็นต้นมา เพราะถ้าเรื่องนี้ปล่อยผ่านไปโดยไม่ได้รับความกระจ่าง ภาพลักษณ์ของกองทัพที่กำลังฉาวโฉ่ คงจะกู่ไม่กลับ
ดูเหมือนว่าช่วงนี้กองทัพ จะโดนเข้าหลายเรื่องเข้าไปเต็มๆ เริ่มตั้งแต่ “ไม้ตีพริก” เครื่องตรวจวัตถุระเบิด จีที 200 ที่ยกกองทัพออกมาแจกแจงว่ายังใช้ได้มีประสิทธิภาพดีอยู่ หรือแม้กระทั่ง “เรือเหาะ” ที่ก่อให้เกิดคำถามว่าสามารถใช้ในพื้นที่ภาคใต้ได้จริงหรือไม่ เพราะมีมูลค่าสูงเลยทีเดียว
เหล่านี้กองทัพเองก็ยังไม่เคลียร์ข้อสงสัยสังคมให้กระจ่างชัด กลับมาเกิดเหตุปล้นอาวุธสงครามตามมาอีก
พอมีเรื่องเข้ามารุมเร้าเล่นเอา ผบ.ทบ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา สั่งเช็คอาวุธเดือนละครั้งเพื่อให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น พร้อมประกาศไล่เรียงหาตัวคนผิดมาให้ได้
ดูเหมือนว่า งานนี้จะทำให้อารมณ์ของ “บิ๊กป๊อก” ขุ่นมัวเลยทีเดียว
สำหรับกองทัพแล้วไม่ค่อยเปิดช่องให้สังคมได้เข้าไปขุดคุ้ยสักเท่าไหร่ อย่างกรณี “จีที 200” ก็คงพอทำให้เห็นภาพได้ชัดเจน
กลายเป็นเรื่องขัดคอกันระหว่างกองทัพกับรัฐบาล พอมาเกิดเหตุการณ์อาวุธหาย ยิ่งเป็นเรื่องทับถมให้กองทัพสาหัสเข้าไปอีก
ที่ผ่านมากองทัพเคยถูกโจมตีมีหนอนบ่อนไส้ มี “จคบ” ทำตัวเป็นพ่อค้าอาวุธสงครามรายใหญ่ในเอเชียเลยจนเป็นที่ทราบกันดีเลยทีเดียว
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีผู้ตั้งคำถามต่างๆ นานา มีข้อสันนิษฐานเกิดขึ้นว่า “ปืนหายก่อนถูกปล้น” หรือไม่ ท้าให้มีการตรวจสอบทุกค่าย ทุกคลังแสง อาวุธจะนอนอยู่ครบหรือไม่
คำถามเหล่านี้ต้องย้อนไปถามกองทัพว่าจะให้คำตอบกับสายตาที่มองมาอย่างไร เพราะตามกระแสสังคมในขณะนี้ดูเหมือนจะจ้องมาหากองทัพแบบฟันธงเลยว่า “เกลือเป็นหนอน” และไม่ได้พึ่งเป็น มันกลายเป็น “หนอนติดปีก” ไปเสียแล้ว
คำถามต่อไปแล้วกองทัพจะล้างภาพเหล่านี้ได้อย่างไร งบประมาณของกองทัพในแต่ละปีไม่ใช่น้อยๆ เงินภาษีของประชาชนทั้งนั้น
ฤาพฤติการณ์เหล่านี้มีผู้ใหญ่ในกองทัพ รู้เห็นเป็นใจ ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเปิดค่ายปล้นตัวเอง แอบเอาเงินเข้ากระเป๋า จึงดูไม่ร้อนอกร้อนใจ กับอาวุธที่หายไป แต่กลับร้อนอกร้อนใจ ข่าวมันออกมาได้อย่างไร งานนี้ก็ต้องย้อนกลับไปดูองคพยพภายในกองทัพกันเอง มีการเมืองภายในหรือเปล่า เพราะข่าวที่ออกมาพักหลังๆวงการทหารเกิดการแบ่งแยก แตกขั้วกันไม่เป็นเอกภาพ
เพราะแม้แต่แม่ทัพ “ป๊อก” ยังทำอะไรไม่ได้
งานนี้ “บิ๊กป๊อก” งานเข้าอย่างจัง ต้องเคลียร์ปมปัญหาที่สังคมเฝ้าจับตามอง ไม่งั้นคงลงเก้าอี้แบบคลานลง ไม่ได้เดินลงอย่างผ่าเผยเป็นแน่