xs
xsm
sm
md
lg

นช.ทักษิณ กับ อำมาตย์นอกรั้ว กุนซือใหญ่คดียึดทรัพย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"หนังสือเล่มนี้ คือ การทำหน้าที่พื้นฐานของสื่อ ที่หายไปจากวงการสื่อสารมวลชนในบ้านเรา มาเกือบ 1 ทศวรรษแล้ว เป็นกระจกที่สะท้อนภาพ และเป็นตะเกียงที่ส่องแสง อย่างตรงไปตรงมาว่า ใครดี ใครชั่ว ใครคดโกง ไม่ใช่ ใครเก่ง ใครฉลาด ใครใจถึงพึ่งได้ อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้    

 บทที่ 9 ของหนังสือเล่มนี้ เรื่อง “ เจาะทีมทนายความทักษิณ เปิดเซฟเฮ้าส์ชินวัตร 3 สู้คดี ศิย์เอก “ อุกฤษ” นำทัพ ค่าจ้างทะลุ 10 หลัก “ ทำให้ผู้อ่านได้รู้ว่า ในขณะที่ นช. ทักษิณ ชูธง “ โค่นอำมาตย์” หลอกใช้คนเสื้อแดงเป็นเครื่องมือ ทวงเงินและอำนาจคืน แต่ตัวเองก็คบหาสมาคม ใช้บริการสายสัมพันธ์ของ”อำมาตย์ “ อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่า อำมาตย์ที่นช.ทักษิณ คบหาสมาคมเป็น อำมาตย์นอกรั้ว

หนังสือ “ บันทึกคดี ประวัติศาสตร์ ยึดทรัพย์ทักษิณ 46,373 ล้านบาท” ของ สำนักพิมพ์ Vote ที่เพิ่งพิมพ์เสร็จสดๆร้อนๆ กำลังจะขึ้นชั้นในร้านหนังสือทั่วประเทศ ในอีกไม่เกิน 2 วัน เป็นหนังสือเล่มแรก ที่เปิดเผยเบื้องหลังคดีอย่างละเอียด ว่ากันตั้งแต่ วันที่มีการประชุ มคตส. วาระพิจารณาว่า จะอายัดทรัพย์ นช. ทักษิณ หรือไม่ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2550 ไปจนถึงวันพิพากษา

ใครมีความเห็นอย่างไรในเรื่องอายัดทรัพย์ ใครโทรไปหาใคร คุยกันเรื่องอะไร ใครเห็นต่างกับใคร ในเรื่องการอายัดทรัพย์ ใครคือมือแกะรอย ตามไปอายัดเงิน 76,000 ล้านบาท เทคนิคของ ทีมกฎหมาย นช. ทักษิณ ในการเตะถ่วงคดี และนาทีสุดท้าย ที่เกือบจะไม่ได้ฟ้อง เพราะ อัยการเสียงแตก ฯลฯล้วนถูกบันทึกอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว

วรพล กิตติรัตนวรางกูร ผู้เขียน เป็นนักข่าว สายการเมือง และยุติธรรมของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ซึ่งติดตามเกาะติด คดียึดทรัพย์ตั้งแต่วันแรกๆ และเสาะหาเบื้องลึกเบื้องหลังของคดีนี้อย่างต่อเนื่อง จนถึงวันพิพากษา

วรพล เรียบเรียงข้อมูลความเป็นไปของคดียึดทรัพย์จากหลายๆส่วน ให้อยู่ในหนังสือเล่มนี้อย่างเป็นระบบ ตามลำดับเวลาของช่วงสำคัญๆของคดีนี้ และใช้วิธีเล่าเรื่องด้วยภาษาธรรมดาๆ โครงเรื่องไม่สลับซับซ้อน เพื่อให้ผู้อ่านติดตามเรื่องได้อย่างเข้าใจง่าย

หนังสือเล่มนี้ เป็นส่วนหนึ่งของบันทึกประวัติสาสตร์การเมืองไทย ยุค ทุนนิยมสามานย์ครองเมือง ที่ชี้ให้เห็นถึง กลโกงสมัยใหม่ ของ นักการเมืองที่สร้างภาพหลอกคนทั้งประเทศว่า “ผมรวยแล้ว ผมไม่โกงหรอกครับ “

หนังสือเล่มนี้ คือ การทำหน้าที่พื้นฐานของสื่อ ที่หายไปจากวงการสื่อสารมวลชนในบ้านเรา มาเกือบ 1 ทศวรรษแล้ว เป็นกระจกที่สะท้อนภาพ และเป็นตะเกียงที่ส่องแสง อย่างตรงไปตรงมาว่า ใครดี ใครชั่ว ใครคดโกง ไม่ใช่ ใครเก่ง ใครฉลาด ใครใจถึงพึ่งได้ อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

บทที่ 9 ของหนังสือเล่มนี้ เรื่อง “ เจาะทีมทนายความทักษิณ เปิดเซฟเฮ้าส์ชินวัตร 3 สู้คดี ศิย์เอก “ อุกฤษ” นำทัพ ค่าจ้างทะลุ 10 หลัก “ ทำให้ผู้อ่านได้รู้ว่า ในขณะที่ นช. ทักษิณ ชูธง “ โค่นอำมาตย์” หลอกใช้คนเสื้อแดงเป็นเครื่องมือ ทวงเงินและอำนาจคืน แต่ตัวเองก็คบหาสมาคม ใช้บริการสายสัมพันธ์ของ”อำมาตย์ “ อยุ่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่า อำมาตย์ที่นช. ทักษิณ คบหาสมาคมเป็น อำมาตย์นอกรั้ว

ทนายความที่เป็นทัพหลักในการสู้คดียึดทรัพย์ของนช. ทักษิณคือ นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ประธานกรรมการบริษัท สำนักกฎหมายนิติพีรฉัตร และนายพลพีร์ ตุลยสุวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักกฎหมายนิติพีรฉัตร ซึ่งเป็นสำนักงานทนายความอันดับต้นๆของเมืองไทย

ทั้งสองคนนี้ เป็นศิษย์เอกของนายอุกฤษ มงคลนาวิน อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานสภานิติบัญญัติหลายสมัย นายฉัตรทิพย์เอง เคยเป็นกรรมการและทนายความหัวหน้าฝ่ายคดีของบริษัทสำนักกฎหมาย ดร. อุกฤษ มงคลนาวินมาก่อน

สาเหตุที่ นช. ทักษิณ จ้างนายฉัตรทิพย์เป็นหัวหน้าทีมทนายความคดียึดทรัพย์ก็เพราะได้รับการแนะนำจากนายอุกฤษ ซึ่งเป็นบุคคลที่ นช. ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ให้ความเคารพนับถือมาตลอดหลายสิบปี

นอกจากนายฉัตรทิพย์ และนายพลพีร์ คดียึดทรัพย์นี้ ยังใช้ทนายความรวมแล้ว เกือบ 40 คน นช.ทักษิณหมดค่าจ้างไปมากกว่า 100 ล้านบาท แต่สุดท้าย ก็แพ้คดี เพราะเงินแม้อาจจะใช้จ้างผีโม่แป้งได้ เป็นครั้งคราว แต่ไม่อาจใช้กลับดำให้เป็นขาว ฟอกคนชั่วให้เป็นคนดีได้อย่างแน่นอน

นายอุกฤษ นอกจาก แนะนำทนายให้แล้ว ยังเป็นกุนซือใหญ่ วางแผนสู้คดีทั้งในและนอกศาลหรือไม่ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกไว้

ในสมัยที่ นช. ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ เคยตั้ง นายอุกฤษณ์เป็น ประธาน คณะกรรมการอิสระ อำนวยความยุติธรรม และส่งเสริมความยุติธรรมและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ( กอยส.) ทั้งๆที่มี คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ หรือ กอส. ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานอยู่ แล้ว

ช่วงที่ผ่านมา ยามที่บ้านเมืองมีวิกฤติการณ์ด้านการเมือง มักจะมีข้อเสนอให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ และหลายครั้ง จะมีชื่อนายอุกฤษ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอยู่ด้วยเสมอ แต่นายอุกฤษก็เป็นได้แค่นายกฯในฝัน

ครั้งล่าสุด หลังเลือกตั้ง วันที่ 2 เมษายน 2549 ที่พรรคประชาธิปัตย์บอยคอตไม่ส่ง สส.ลงสมัคร ทำให้ มีเขตเลือกตั้งจำนวนมากในภาคใต้ มี สส. พรรคเพื่อไทยลงสมัครเพียงคนเดียว และได้คะแนนไม่ถึง 20 % ของผู้มีสิทธิลงคะแนน ต้องเลือกตั้งใหม่ ทำให้เปิดสภาไม่ได้ เพราะ สส.ไม่ครบ 500 คน เป็นวิกฤติการเมืองที่ นช. ทักษิณ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นนึกไม่ถึง ขณะที่นอกสภา กระแสต่อต้าน ขับไล่นช. ทักษิณ ภายใต้การนำของพันธมิตรประชานเพื่อประชาธิปไตย ขยายตัวไปทั่วประเทศ ทำให้มีกระแสข่าวว่า นช. ทักษิณ จะผ่าทางตัน ด้วยการลาออก แล้วตั้งรัฐบาลแห่งชาติ โดยให้นายอุกฤษ เป็นนายกฯ

หลังการยึดอำนาจ วันที่ 19 กันยายน2549 มีการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 นายอุกฤษแสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยเฉพาะมาตรา 309 ดังปรากฎในการให้สัมภาษณ์หลายครั้ง

“การไม่ต้องการให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นความชัดเจนของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผมบอกได้เลยว่าคิดแค่นี้ก็ผิดแล้ว เป็นการทำลายชาติ รัฐบาลที่ตั้งขึ้นก็ทำอะไรก็ไม่ได้ ถูกยื้อ ถูกคัดค้าน ถูกตรวจสอบ นักการเมือง อย่างนี้มันผิดหมด เพราะคนร่างรัฐธรรมนูญไม่เคยสัมผัสกับการเมือง ใช้จินตนาการในการร่างเพื่อกำจัดพรรคการเมืองประชานิยมบางพรรคออกไปจากเวทีเท่านั้นเอง”

“ แค่มาตรานี้ ( มาตรา 309) มาตราเดียวก็ทำให้ร่างรัฐธรรม นูญนี้เสียทั้งฉบับ ไม่รู้ว่ามีเจตนาอะไรที่มีการนิรโทษกรรมการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549 ได้นิรโทษกรรม คมช. เอาไว้แล้ว ในอดีตทุกครั้งที่มีการปฏิวัติ จะมีการออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมโดยให้ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้ตรากฎหมาย ถ้าเราทำผิดแล้วเขียนกฎหมายยกโทษให้ตัวเองมัน ขัดหลักสากล แล้วถ้าคนที่มาเป็นรัฐบาลทีหลังไม่เห็นด้วย หากจะเอาผิดกันย้อนหลังก็สามารถทำได้ตามกฎหมาย เพราะคดีมีอายุความถึง 20 ปี

“ การดำเนินการต่างๆ ขององค์กรอิสระหรือองค์กรตรวจสอบที่ตั้งขึ้นหลังการรัฐประหาร ไม่ได้เป็นตามหลักนิติธรรมสากล แม้จะเป็นไปตามคำสั่งหรือประกาศของคณะปฏิวัติ แต่คำสั่งและประกาศเหล่านั้นก็ขัดกับหลักนิติธรรมสากลอยู่ดี ฉะนั้นเมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ออกมาใช้บังคับแล้ว ต้องถือว่าคำสั่ง ประกาศต่างๆ นั้นสิ้นผลไป ต้องกลับมาดำเนินการตามหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญ”

“ เมืองไทยเมื่อไม่กี่ปีนี้มีคนพูดคำว่า “ทุจริตเชิงนโยบาย” ผมอยู่ในการเมืองมาหลายสิบปีไม่เคยได้ยินคำนี้ ในทางการเมืองพรรคที่เป็นรัฐบาลก็ต้องเอานโยบายที่หาเสียงมาปฏิบัติตามสัญญากับประชาชนไว้ตอนหาเสียง หากจะมีการทุจริตก็ต้องลงโทษไปที่ตัวบุคคลซึ่งมีกฎหมาย ป.ป.ช. มีกฎหมายอาญาอยู่แล้ว “

กลางปี 2551 ในขณะที่พรรคพลังประชาชนกำลังเคลื่อนไหวแก้ไขมาตรา 237 และ309 ของรัฐธรรมนูญ 2550 เพื่อล้มคดีคอร์รัปชั่นของ นช. ทักษิณ นายอุกฤษ เสนอให้นำรัฐธรรมนูญปี 2540 มามใช้แทนทั้งฉบับเลย

คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่แนวความคิดเหล่านี้ของนายอุกฤษ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับข้อเรียกร้องของ นช. ทักษิณ และกลุ่มเสื้อแดง และเป็นประเด็นในข้อต่อสู้ในคดียึดทรัพย์ของ นช. ทักษิณ ความคิดของนายอุกฤษ ยังถูกนำไปเผยแพร่ในเว็บไวต์ในเครือข่ายของพวก “ล้มเจ้า” หลายๆแห่ง

ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วนายอุกฤษนั้น ต้องจัดว่า มีสถานะเป็น” อำมาตย์” คนหนึ่ง หากนิยามคำว่าอำมาตย์ตามที่ นช. ทักษิณกับกลุ่มคนเสื้อแดง ใช้อ้างอิงถึง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และองคมนตรีคนอื่นๆ ที่นช. ทักษิณ ไม่ชอบ เพียงแต่ว่า เป็นอำมาตย์นอกรั้ว ที่รับใช้นช. ทักษิณ และมีศัตรูร่วมกันเท่านั้น


กำลังโหลดความคิดเห็น