xs
xsm
sm
md
lg

สถานการณ์ล่อแหลม แต่ก้าวข้าม “ทักษิณ” ไปได้!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

เชื่อว่าคนไทยที่มีความจงรักภักดีเมื่อได้เห็นภาพที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อเย็นวันจันทร์ที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา คงจะมีความชื่นใจจนสุดประมาณ และทำให้มีกำลังใจที่ได้เห็นพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง

สถานการณ์บ้านเมืองก่อนถึงวันที่ ทักษิณ ชินวัตร สั่งระดมไพร่พลที่มีอยู่ทั้งหมด โดยไม่เลือกประเภทว่าจะเป็นใครมาจากไหนเป็นทุ่มเทกันสุดกำลังเหมือนกับการทำ “สงครามครั้งสุดท้าย” โดยเน้นเฉพาะเป้าหมายสูงสุดคือให้เกิดการ “เปลี่ยนแปลง” อย่างขนานใหญ่ ทำให้ทุกอย่างในเวลานี้ดูเหมือนตึงเครียดและน่าเป็นห่วงไม่น้อย

หลายคนเริ่มกังวลว่า เมื่อ ทักษิณ ประกาศว่า การชุมนุมใหญ่ของ “คนเสื้อแดง” ในสังกัดของเขา เริ่มตั้งแต่วันที่ 12-14 มี.ค.และเป็นการชุมนุมแบบ “ม้วนเดียวจบ” มันต้องมีการมีการเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ โดยเฉพาะการสร้างสถานการณ์ให้ปั่นป่วน หรือหากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือการก่อเหตุ “จลาจล” ในกรุงเทพฯและในจุดสำคัญทั่วประเทศ

ที่ผ่านมาหากติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดจะพบว่ามีความเคลื่อนไหวในลักษณะข่มขู่ ก่อกวนมาอย่างประปราย ทั้งก่อนและหลังวันพิพากษาคดียึดทรัพย์ทักษิณ เมื่อวันที่ 26 ก.พ. อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนที่ก่อกวนทั้งคำพูดข่มขู่และลงมือก่อเหตุ เช่น ลอบขว้างระเบิดเข้าใส่ธนาคารกรุงเทพ สขาสีลม รวมทั้งสาขาอื่นๆอีกรวม 4 แห่ง แต่ในที่สุดตำรวจก็สามารถจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุที่สาขาสีลมได้แล้ว รวมไปถึงการจับกุม “เคทอง” หรือ พรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ รวมไปถึง “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล กับพวกรวม 8 คน แม้ว่า ล่าสุด เสธ.แดง พร้อมกับลูกน้อง ยกเว้น พรวัฒน์ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ศาลไม่ให้ประกันตัว เนื่องจากมีพฤติกรรมในลักษณะ “ผู้ก่อการร้าย”
 
นอกจากนี้เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า พฤติกรรมของ ทักษิณ รวมทั้งบรรดาแกนนำในระดับสั่งการจะเน้นในเรื่องของการ “ปลุกระดม” และเจตนาบิดเบือน เพื่อเร้าอารมณ์และดึงมวลชนเข้าร่วมให้มากที่สุด ให้เกิดพลังกดดันรัฐบาลพร้อมกันไปด้วย

ขณะเดียวกัน ที่ต้องจับตาก็คือ “เกมใต้ดิน” ที่หลายฝ่ายมีการประเงินตรงกันว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงในครั้งนี้จะต้องมีการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวอย่างแน่นอน เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีสัญญาณหลายอย่างบ่งบอก และนับวันจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

สัญญาณดังกล่าวทำให้เกิดความวิตกกังวลตามมาว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงในคราวนี้มีโอกาสที่มีคนที่พยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง และวุ่นวายจนมีลักษณะ “จลาจล” เพื่อนำไปสู่เป้าหมายให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะของการยุบสภา หรือว่าออกมาในรูปแบบของรัฐบาลเฉพาะกาลก่อนการเลือกตั้งต่อไป

หากพิจารณาในมุมของ ทักษิณ เชื่อว่าหลายคนแทบจะมองออกตรงกันว่าครั้งนี้อาจถือว่าเป็น “โอกาส” ครั้งสุดท้ายแล้วสำหรับการสร้างแรงกดดันให้มีความเปลี่ยนแปลงที่เป็นบวกกับเขา หรือสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการนั่นคือ ได้ทรัพย์สินที่ถูกยึดกลับคืนมา นิรโทษกรรมความผิดที่เหลือทุกคดี และสุดท้ายก็คือกลับมามีอำนาจอีกรอบ

อย่างไรก็ดี ความเป็นไปได้ที่มีอยู่ในปัจจุบันแทบจะเรียกได้ว่า “เหลืออยู่น้อยยิ่งกว่าน้อย” นั่นคือปัจจุบันเครือข่ายอำนาจรัฐไม่ได้อยู่ในมือของเขาแล้ว อีกทั้งเวลาผ่านไปนาน แม้ว่าจะมีอยู่ไม่น้อยที่ยังภักดีและคอยลุ้นให้เขากลับมาอีกครั้งก็ตาม และที่สำคัญบรรยากาศในวันนี้ก็แตกต่างแทบจะสิ้นเชิง ชาวบ้านรู้ทันความชั่ว รู้ว่าเขาและครอบครัวทุจริตฉ้อฉลอย่างไรกันบ้าง โดยเฉพาะวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอ่านคำพิพากษาความผิดชี้ให้เห็นจะจะนานกว่า 5 ชั่วโมง เหมือนกับการจับแก้ผ้ากลางตลาด ประจานให้ชาวบ้านได้เห็นกันทั่ว

ภาพของการไม่เคารพศาล ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมของ ทักษิณ และเครือข่ายเสื้อแดงทั้งหลายก็ยิ่งทำให้เปิดเผยธาตุแท้ออกมา ซึ่งระดับวิญญูชน รวมไปถึงคนที่รับรู้ข้อมูลมาตลอดล้วนมีแต่เสียง “ยี้” กันทั้งนั้น อีกทั้งการเคลื่อนไหวชุมนุมที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ถือว่ายังไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทำให้ถูกมองว่าเป็นการสร้างกระแสข่มขู่คุกคามตามที่ต้องการเท่านั้น


สังเกตได้จากการโผล่ออกมาของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ที่ล่าสุดออกมาเรียกร้องให้มีการเจรจาเพื่อหาทางออกให้ทุกฝ่าย แต่พิจารณาจากนัยทางการเมืองก็คือต้องการเปิดทางให้ทักษิณ ตามที่ต้องการ แต่หากไม่ได้ผลตามที่เสนอเงื่อนไขจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่นั้นก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่แนวโน้มก็ถือว่านาเป็นห่วง

ขณะที่ความเคลื่อนไหวอีกด้านทางฝั่งของรัฐบาลดูเหมือนว่าจะเตรียมการรับมือได้ดีกว่าทุกครั้ง หากเทียบกับเหตุการณ์เมื่อครั้งเดือนเมษายนปีที่แล้ว เพราะล่าสุดวานนี้(9 มี.ค.) ที่ประชุมคคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 11-23 มี.ค.รวมเวลาถึง 13 วันเต็ม เป็นการทุ่มกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ ทหารและฝ่ายพลเรือน นับแสนคน โดยเฉพาะหากแยกเป็นทหาร-ตำรวจแล้วมีไม่น้อยกว่า 5 หมื่นคน นับว่าเป็นการเตรียมรับมือที่ใช้กำลังมากที่สุด ชนิดที่เรียกว่า 1 ต่อ 1 หรือ 1 ต่อ 2 กันเลยทีเดียว

นอกจากนี้ หากพิจารณาจากภาพที่โรงพยาบาลศิริราชเมื่อวันที่ 8 มี.ค. ก็ยิ่งทำให้ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความมั่นใจมากขึ้นแบบเต็มเปี่ยมไม่ต้องอธิบายกันมาก

ตรงกันข้ามกับทักษิณ ที่วันนี้ถือว่าเปิดหน้าชกเต็มตัว หลายสิ่งหลายอย่างล้วนปรากฏชัดออกมาแล้วว่าเป้าหมายที่พยายามซ่อนอยู่หลังฉากนั้นคือ “ใคร” เพราะเท่าที่ปะติดปะต่อกันทำให้มั่นใจว่าการรุมถล่มเข้าใส่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษนั้นเป็นเพียงเป้าหมายรอง เพราะต้อง “เหนือ” กว่าแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ โดยเฉพาะการดิ้นรนไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลหรือกล่าวให้ร้ายศาลว่าถูก “ชักใย” หลังจากถูกพิพากษายึดทรัพย์ ภาพจึงออกมาในลักษณะของ “คนพาล” ไม่เคารพกติกาและเห็นแก่ได้ ความชอบธรรมจึงนับวันมีแต่ลดน้อยถอยลง

บรรยากาศในวันนี้ต่างกับในช่วงเดือนเมษายนแทบจะลิบลับ แล้วนี้เชื่อว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเข้ามาในกรุงเทพฯก็จะยิ่งเจอกับการต่อต้านจากจากชาวบ้าน โดยเฉพาะภาพหลอนที่เคยเกิดขึ้น ทำให้มีข่าวว่ากำลังมีอาสาสมัครป้องกันชุมชนเกิดขึ้นหลายแห่งซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยง ทำให้ฝ่าย ทักษิณ เคลื่อนไหวลำบากขึ้น

ที่ผ่านมาทั้งการจับกุมบุคคลในเครือข่ายหลายคนที่ก่อเหตุร้ายมาก่อนหน้านี้ล้วนเชื่อมโยงไปยังกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งสิ้น ยิ่งทำให้สังคมเพ่งมองว่าเหตุการณ์ปั่นป่วนที่อาจเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็ล้วนเป็นฝีมือคนกลุ่มเดียวกัน

ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากภาพรวมในทุกด้าน แม้ว่าการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.ของ คนเสื้อแดงจะมีความเสี่ยงแต่เมื่อทุกสายตาจับจ้องแบบไม่กะพริบ อีกทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็กระจายควบคุมแทบทุกจุดก็ยิ่งทำให้กลุ่มที่จ้องป่วนขยับไม่ออก และในที่สุดก็น่าจะก้าวข้าม “ทักษิณ” ไปได้!!

กำลังโหลดความคิดเห็น