แกนนำ นปช.ใช้ข้อมูลเก่ามาเขย่าใหม่ แหกปากมั่วความไม่ชอบมาพากลมูลนิธิรัฐบุรุษข้องใจขายที่ดินที่ได้รับบริจาคเพื่ออะไร ขู่เปิดโปงคนในเครือข่ายอำมาตย์เพิ่ม แขวะ “ป๋าเปรม” จะอาเงินไปไว้ไหน แกว่งปากเย้ย “สุเทพ” หากกลัวอีแต๋นแดงปิดถนน ท้าให้ชิงยุบสภาหนีก่อน 12 มี.ค. เย้ย “เทพไท” แฉแผนลับ นปช.แค่เอา นสพ.มาปะติดปะต่อสรุปข่าว
วันนี้ (7 มี.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่ม นปช.แถลงถึงกรณีตรวจพบความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินการของมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ว่าจากการตรวจสอบการดำเนินการของมูลนิธินั้น ไม่น่าจะใช่การทำตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิที่ทำเพื่อสาธารณประโยชน์และการกุศล มูลนิธินี้แม้จะมีการจดทะเบียนแต่เป็นการขอเปลี่ยนแปลงชื่อจากมูลนิธิส่งเสริมวัฒนธรรมไทยในปี 2538 โดยคณะบุคคลได้ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนเป็นมูลนิธิรัฐบุรุษพล.อ.เปรม มีกรรมการรุ่นบุกเบิก 19 คน มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเป็นประธานกิตติมศักดิ์ สมาชิกหลายคนเป็นคนใกล้ชิด ทั้งทหารลูกป๋า กลุ่มทุนคณะ 11 แต่ตัวละครสำคัญ คือ กรรมการหนึ่งในนั้นที่ชื่อว่า พล.อ.นพ พิณสายแก้ว คนใกล้ชิดพล.อ.เปรมและมีสถานะเป็นที่ปรึกษาบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ซึ่งเป็นโซ่ข้อกลางเชื่อมการดำเนินธุรกรรมระหว่างบริษัทดังกล่าวกับ พล.อ.เปรม และมูลนิธิรัฐบุรุษ โดยปี 2543 ทางมูลนิธิได้รับการบริจาคที่ดินจากบริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล ของนางกัลยาณี พรรณเชษฐ์ ที่ ต.โนนหมากเค็ง อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว จำนวน 1,550 ไร่ โดยเอกสารสิทธิที่ดินดังกล่าวเป็น น.ส.3 ทางมูลนิธิอ้างว่าจะนำไปทำโครงการสาธิตสวนยางพารา และได้มีการร้องขอให้สำนักงานที่ดิน จ.สระแก้วออกโฉนดเต็มพื้นที่
“สิ่งที่เป็นปมน่าสงสัยคือ วันที่ 23 มิ.ย.49 มูลนิธิได้มอบหมายให้พ.อ.สงคราม ทองสง่า ขายที่ดิน 3 แปลงตามโฉนดเลขที่ 9450, 1005 และ 15266 ให้กับนายอภิเชษฐ์ พิณสายแก้ว ซึ่งเป็นบุตรชายของ พล.อ.นพ รองประธานมูลนิธิรัฐบุรุษ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าที่ดินแปลงนี้เป็นแปลงเดียวกับที่บริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล บริจาคให้ นำที่ดินไปขายได้อย่างไรให้กับคนกันเอง ทั้งๆที่วัตถุประสงค์ 7 ข้อไม่ปรากฏว่าให้ขายที่ดินนำกำไรให้มูลนิธิ ซึ่งเมื่อไม่ตรงกับวัตถุประสงค์รวมทั้งถ้ามีการแก้ไขข้อบังคับจะต้องมีกรรมการ 2 ใน 3 ลงมติให้แก้ไข แต่จากการตรวจสอบนั้นไม่พบ เท่ากับการทำธุรกรรมขัดวัตถุประสงค์ ถือเป็นประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้นสังคมต้องได้คำตอบว่า ที่ผ่านมามูลนิธิได้นำของบริจาคให้ใครบ้างและขายให้คนกันเองหรือไม่ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบยังพบข้อเท็จจริงที่ซ้อนอยู่ด้วยว่า ที่ดินที่พล.อ.นพซื้อนั้นเป็นที่ดินซึ่งประชาชนถือ น.ส.3 อยู่ด้วย เท่ากับมูลนิธิออกโฉนดทับที่ดิน น.ส.3 เรื่องนี้มีประชาชนร้องเรียนและมีภาพถ่ายทางอากาศยืนยันชัดเจน แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ วันที่ได้โฉนดเป็นวันเดียวกับวันที่ขาย พอซื้อปุ๊บก็มีการปลูกยางพารา พล.อ.นพยังสร้างบ้านหลังใหญ่ไว้ด้วย ทั้งนี้โฉนดที่ออกมาระบุเป็นพื้นที่หมู่ 7 (11) ซึ่งไม่เคยพบเคยเห็น แต่ข้อเท็จจริงแล้วเป็นพื้นที่หมู่ 7 แต่เอกสาร น.ส.3 อยู่ที่หมู่ 11” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า เรื่องนี้เชื่อมโยงไปถึงการขายบ้านของ พล.อ.เปรมที่ท่าแร้ง เขตบางเขน ซึ่ง พล.อ.นพเป็นคนซื้อ คนที่จ่ายเงินเป็นกลุ่มคนยักษ์ใหญ่ เชื่อว่ากรณีนี้เชื่อมโยงไปยังที่ดินวัฒนานครด้วยว่า คนที่ซื้อตัวจริงไม่ใช่ พล.อ.นพ แต่เป็นเพียงนอมินี ในแง่ของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 110(2) ห้ามมูลนิธิหาประโยชน์เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ดังนั้นในหลักการที่กล่าวมาข้างต้นเท่ากับว่าขัดต่อกฎหมาย ตนต้องการคำอธิบายจากพล.อ.เปรมและมูลนิธิว่า สิ่งที่ตนพูดมานั้นเป็นจริงหรือไม่ ตนพร้อมรับผิดชอบในสิ่งที่พูดทั้งหมด ทั้งนี้การอ้างว่าไปทำสวนยางสาธิตนั้น ผลประโยชน์ไปตกอยู่กับใครกันแน่ ตนสงสัยว่า พล.อ.เปรมจะเป็นเจ้าของสวนยางหรือไม่ โดย พล.อ.นพเป็นคนดูแลสวนยางให้ ซึ่งสาเหตุที่ตนต้องพูดเพราะเรื่องนี้อธิบายกับสังคมว่าอำมาตย์ทำอะไรก็ได้ในสังคมนี้ เป็นการตอกย้ำกฎหมาย 2 มาตรฐาน เร็วๆ นี้ตนจะเปิดปมคนในเครือข่ายอำมาตย์ที่เป็นเรื่องฟ้องร้องในศาลที่หัวหิน ซึ่งศาลรับแล้วว่าจริง แต่ยังไม่มีการดำเนินการอะไร
“ขอถาม พล.อ.เปรมว่า จะเอาเงินไปไว้ไหนเพราะไม่มีครอบครัว ครองโสดมายาวนาน บ้านก็ไม่ต้องซื้อ น้ำไฟก็ไม่ต้องจ่าย หรือจะอธิบายว่า การเป็นที่ปรึกษากลุ่มทุนนั้นไม่ได้รับรายได้ เพราะทราบว่าค่าใช้จ่ายบ้านที่โคราชนั้นก็เป็นหน้าที่ของแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้งหมด” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ระบุว่าจะประกาศใช้กฎหมายจราจรจัดการรถอีแต๋นเพื่อกันไม่ให้ออกจากพื้นที่มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 14 มี.ค.ว่า ยืนยันว่าประชาชนจำนวนมากที่จะเข้ามานั้นส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ซึ่งจะต้องเดินทางโดยรถอีแต๋นแน่นอน การเคลื่อนขบวนจะยึดหลักสงบ ป้องกันผลกระทบการจราจรมากที่สุด กทม.เป็นเมืองหลวงของคนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะชนชั้นสูง เมื่อคนยากจนอยากจะนำพาหนะกู้ชีพมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ถึงสกัดอย่างไรคนก็จะยังมา ยืนยันว่าจะไม่มีการปิดถนน แต่ถ้ารัฐบาลเป็นห่วงมากก็ให้ยุบสภาก่อนวันที่ 12 มี.ค. พวกตนจะได้ไม่เข้ามาชุมนุมที่กทม.
สำหรับกรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำเอกสารที่อ้างว่าเป็นของหน่วยงานความมั่นคงซึ่งระบุว่า เป็นแผนลับ นปช.เผด็จศึกรัฐบาลนั้น นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เป็นการสรุปข่าว ไม่ใช่ความลับ เป็นการนำข้อมูลจากหนังสือพิมพ์มาปะติดปะต่อ ถ้าเป็นการข่าวของจริงต้องมีลักษณะเหมือนที่ตนออกมาเปิดเผยเรื่องคลังแสงที่ จ.พัทลุง ต้องถามว่ารัฐบาลปิดข่าวทำไม อาวุธระเบิดเอ็ม 67 ที่หายไปนั้นเป็นชนิดเดียวกับที่คนร้ายใช้ขว้างธนาคารกรุงเทพ แม่ทัพนายกองไม่มีคำอธิบายกรณีนี้เลย ขอตั้งข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นการนำมาสร้างสถานการณ์เพื่อทำลายคนเสื้อแดงใช่หรือไม่ รัฐบาลต้องอธิบายให้ชัดเจน