“เทพไท” ชี้ “แม้ว” สร้างเขื่อนให้ กทม.แค่ลูกไม้ตื้นๆ เชื่อพูดปูดคนอาสาติดบึ้มพลีชีพ หวังชี้โพรงให้กระรอก จี้แกนนำเสื้อแดงรับผิดชอบความเสียหายพาม็อบเข้ากรุง เย้ยเกิดเรื่องทีไร ญาติและครอบครัว “ทักษิณ” เผ่นนอกทุกที โวได้แผนปลุกม็อบอยู่ในมือแล้ว ปูดจ่าย 5 พัน/กระบะ 1 คัน ไม่ชัวร์ ส.ส.เพื่อไทย 1 คน ขนมวลชนเท่าไหร่ รอหลักฐานชัด เล็งยื่น กกต.ยุบพรรค ชี้ข่าวจ่าย 70 ล้าน/วัน แค่ประเมิน เมินบัญชีดำเสื้อแดง บอกยังใช้ชีวิตปกติ ลั่นอย่าใช้อำนาจมืดสอยพวกเห็นต่าง ยัน “มาร์ค” ยังไม่เปลี่ยนใจเลื่อนเยือนแดนจิงโจ้
วันนี้ (6 มี.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่า มีการปลุกกระแสเร่งเร้าสถานการณ์ให้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมา (5 มี.ค.) มีการชุมนุมที่ จ.นครราชสีมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอลิ้งก์เข้ามาที่เวทีดังกล่าว และใช้มุขเดิมๆ พูดถึงนโยบายปลดหนี้ ยาเสพติด สร้างงาน เป็นการสร้างความหวังให้ประชาชน เพราะคงตระหนักดีว่าการชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากคน กทม.จึงพยายามเสนอผลประโยชน์แลกเปลี่ยน โดยประกาศว่า ถ้าได้กลับมาก็จะสร้างเขื่อนรอบ กทม. ซึ่งทั้งหมดเป็นลูกไม้ตื้นๆ แต่ที่น่าสนใจคือ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงคนป่วยที่มารักษา 30 บาทรักษาทุกโรค มาอาสาตัวติดระเบิดพลีชีพเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ตนคิดว่าการพูดเช่นนี้เป็นการชี้โพรงให้กระรอก พยายามสร้างกระแสให้มีความรุนแรงมากขึ้นใช่หรือไม่
นายเทพไท กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.ประกาศสงครามชนชั้นและยกเรื่องการต่อสู้วรรณะของประเทศอินเดีย โดยเทียบเคียงกับสถาบันองคมนตรีว่าเป็นวรรณะจัญไร ถือเป็นการใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมปลุกเร้าให้มวลชนมีอารมณ์ร่วม และนำคนเหล่านี้เข้ามาสู่กทม. ตนอยากเรียกร้องให้แกนนำ นปช.รับผิดชอบความเสียหายที่จะเกิดขึ้น และอยากตั้งข้อสังเกตว่า ทุกครั้งที่มาเคลื่อนไหวชุมนุมมากๆ ตั้งแต่สงกรานต์เลือด ญาติพี่น้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับเดินทางออกนอกประเทศทั้งหมด ขณะที่ นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช.ได้ทิ้งมวลชนไปตั้งแต่ตอนนั้น จนตอนนี้ก็ยังไม่มา ส่วนนายจตุพร พรมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช.ก็มุดหัวไปไหน ตอนที่มีการสลายการชุมนุมเช่นกัน
“ขณะนี้แผนทั้งหมดของคนเสื้อแดงอยู่ในมือผม โดยได้ส่งเข้ามาให้ทราบชัดเจน วันนี้ผมคิดว่ารัฐบาลพร้อมมากกว่าเหตุการณ์ตอนสงกรานต์เลือด ทุกฝ่ายได้เตรียมรับมือและแก้ไขปัญหาความรุนแรงภายใต้กรอบของกฎหมาย ในเอกสารชิ้นนี้ใช้หัวข้อว่า “12 มีนาคม 12 นาฬิกา ลั่นกลองศึกเขย่าขวัญอำมาตย์” พูดถึงภารกิจการชุมนุมและการปฏิบัติในต่างจังหวัดใน กทม.และปริมณฑล และพูดถึงการสื่อสารผ่านสถานีพีเพิลชาแนลและเครือข่ายวิทยุชุมชนที่มีนายอดิศร (เพียงเกษ) และนายณัฐวุฒิ เป็นผู้รับผิดชอบ พูดถึงการเคลื่อนไหวทุกภาค รวมไปถึงการสนับสนุนบอกชัดเจนว่า มีกลุ่มอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนเป็นผู้สนับสนุนทางการเมือง และยังมีการพูดถึงงบประมาณชัดเจนว่ามีการจ่ายค่ายานพาหนะคันละประมาณ 3 5 พันบาทต่อคัน และ ส.ส.1 คนให้นำรถ 200 คัน คันละ10 คน รวมเป็น 2,000 คน และโครงสร้าง นปช.459 องค์กร” นายเทพไท กล่าว
นายเทพไท กล่าวว่า ในส่วนของต่างจังหวัดว่าเคลื่อนไหวอะไรบ้าง คือ ภาคเหนือ 10 จังหวัด ภาคอีสาน 17 จังหวัด โดยจะใช้รถแห่ประชาสัมพันธ์ โดยมีฉากหลังด้านขวาเป็นรูปของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ติดหนวดแบบเผด็จการฮิตเล่อร์ และมีหัวควายอยู่ด้านล่างรูป พล.อ.เปรม ส่วนฉากด้านซ้ายเป็นรูปของแกนนำสามเกลอ และนายอดิศร นายสุพร อัตถาวงศ์ ถือปืนเอ็ม 79 โดยเขียนข้อความว่าหยุดสองมาตรฐานขับไล่รัฐบาลและยุบสภา
นายเทพไท กล่าวว่า ในการเคลื่อนไหวของภาคกลาง 9 จังหวัด ภาคใต้ 3 จังหวัด ภาคตะวันตก 4 จังหวัด ภาคตะวันออก 6 จังหวัด และ กทม.อีก 6 จุด คือ 1.บริเวณอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน 2.อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ หรืออนุสาวรีย์ปราบกบฎ บริเวณเหนืออุโมงทางลอดแยกบางเขน 3.อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี 4.หน้าสน.ทุ่งสองห้อง ถนนกำแพงเพชร 7 เขตหลักสี่ 5.บริเวณทางแยกบางนา 6.บริเวณสนามกีฬาไทยญี่ปุ่นดินแดง ทั้งนี้ การจัดว่าใครอยู่กลุ่มไหนเรื่องนี้ชัดเจนเป็นแผนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ในมือของตนแล้ว
โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงข่าวการชุมนุมคนเสื้อ มีการให้ส.ส.พรรคเพื่อไทย จัดคนมาร่วมชุมนุมว่า กล่าวว่า ขณะนี้เป็นแผนรวม ไม่มีรายละเอียดว่า ส.ส.คนใดขนคนมาเท่าไหร่ แต่มีการพูดคุยกันในส่วนของแกนนำ ซึ่งได้ไปพูดในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยว่า ขอความร่วมมือ ส.ส.ให้ช่วยระดมคน และมี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยเคยให้สัมภาษณ์ว่า ทุกครั้งที่มีการชุมนุม ขอให้ ส.ส.สนับสนุน อย่างไรก็ตาม ถ้าพรรคประชาธิปัตย์มีหลักฐานชัดเจน จะสามารถยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณายุบพรรคเพื่อไทยได้ เมื่อถามว่า ต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมหรือไม่ นายเทพไท กล่าวว่า เป็นแผนที่รัฐบาลต้องนำมารับมือ ไม่ใช่ไปดำเนินคดีกับเขา
เมื่อถามว่า จะมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินคดีให้ชัดเจนหรือไม่ นายเทพไท กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงมีการดำเนินการที่ชัดเจนอยู่แล้ว สามารถติดตามข้อมูลได้ ในส่วนของพรรคคงไม่ต้องตั้งคณะกรรมการ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามรายงานจากฝ่ายความมั่นคง ซึ่งมีหน้าที่โดยตรง ส่วนมีการประเมินค่าใช้จ่ายในการชุมนุมสูงถึง 70 ล้านบาทต่อวันนั้น ก็เป็นการประเมินกัน เนื่องจากมีข่าวออกมาตลอด เป็นการประเมินคร่าวๆ จากจำนวนรถที่แกนนำคนเสื้อแดงจะประกาศว่า จะนำมาจำนวนสองแสนคัน ซึ่งไม่รวมถึงค่าบริหารจัดการและค่าหัวคิว
อย่างไรก็ตาม นายเทพไท กล่าวถึงกระแสข่าวที่ตนถูกขึ้นในบัญชีดำของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกว่า ไม่มีอะไร ครอบครัวยังใช้ชีวิตปกติ แต่อยากเรียกร้องว่า ไม่ควรใช้อำนาจเถื่อน อำนาจมืดจัดการกับคนที่เห็นต่างทางการเมือง เพราะความคิดทางการเมืองแตกต่างกันได้ ถ้าหากเห็นว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดล่วงเกิน ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหาย ก็มีกระบวนการยุติธรรม จึงไม่ควรใช้ความรุนแรง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพวกตนก็ระมัดระวังตามสมควรโดยไม่ประมาท
ส่วนถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีจะเยือนประเทศออสเตรเลีย ในช่วงที่คนเสื้อแดงจะนัดชุมนุมใหญ่นั้น นายเทพไท กล่าวว่า ตนได้สอบถามนายกฯ และได้รับคำยืนยันว่า ยังไม่มีสถานการณ์อะไรทำให้เปลี่ยนใจ เพราะกำหนดการดังกล่าวได้นัดหมายไว้ก่อน และการเดินทางไปออสเตรเลียเป็นการกระชับความสัมพันธ์ ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีของไทยเป็นประธานอาเซียน โดยมีภารกิจที่ต้องเจรจากัน ดังนั้น การที่คนเสื้อแดงพยายามกล่าวหาว่านายกฯ หนีปัญหาไม่รับผิดชอบ ก็ขอเรียนว่านายกฯ รับผิดชอบต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อไม่อยู่ ก็ได้มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง รักษาราชการแทน
นายเทพไท กล่าวว่า การที่นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดง จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาคมโลก เพราะข่าวดังกล่าวได้เผยแพร่ไปทั่วโลกว่า ประเทศไทยยังเป็นปกติอยู่ และนายกฯ มั่นใจในสถานการณ์ภายในประเทศ จึงเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์ แต่หากนายกฯ ยกเลิกการเดินทาง จะสร้างความเสียหาย จะมีการกระพือข่าวว่าประเทศไทยวุ่นวายจนนายกฯ ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นและนักลงทุน รวมทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว