คำว่า Lost Generation แรกเริ่มเดิมที หมายถึง กลุ่มนักเขียนอเมริกันรุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่รู้สึกผิดหวัง แปลกแยกกับสังคมในขณะนั้น และใฝ่หาบรรยากาศแบบ” มหานครใหญ่” ที่มีความหลากหลายของชีวิตและวัฒนธรรม หลายๆ คน จึงอพยพไปอยู่ที่ยุโรป โดยเฉพาะปารีส
นักเขียนในกลุ่มนี้ ที่เป็นที่รู้จักกันในบ้านเรา ก็มีอย่างเช่น เอฟ สก็อต ฟิตซ์เจอรัลด์ เออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์ จอห์น สไตน์แบค วิลเลี่ยม ฟอล์คเนอร์ ฯลฯ ส่วนคนที่ใช้คำนี้เป็นคนแรกคือ เกอร์ทรูด สไตน์ นักเขียนและกวีหญิง โดยบอกกับเฮมมิงเวย์ว่า ชีวิตจของเธอนั้นได้ “สูญหาย”ไป ต่อมา เฮมมิงเวย์นำคำนี้ไปใช้ในนิยายเรื่อง “ The Sun Also Rise “ (แล้วดวงตะวันก็ฉายแสง) และบันทึกอัตตชีวประวัติชื่อ “ The Moveable Feast”
“ชนรุ่นที่สูญหาย “ หรือ “ชนรุ่นที่สาบสูญ” อีกความหมายหนึ่งคือ คนที่ ต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่าง อันเป็นวิถีชีวิตที่ควรจะเป็นในช่วงวัยหนุ่มสาวไป เพราะเหตุบางอย่าง เช่น คนอเมริกันหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เยาวชนในขบวนการเรดการ์ด จีน ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน ที่ทิ้งครอบครัว โรงเรียนไปใช้แรงงานในชนบท นักเรียน นักศึกษาที่ทิ้งพ่อแม่พี่น้อง คนรักและห้องเรียน หนีเข้าป่า หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 วัยรุ่นในค่ายผู้อพยพปาเลสไตน์ ที่เกิดและเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสงคราม คนญี่ปุ่นในวัยทำงาน ในช่วงทศวรรษ 1900 ซึ่งหางานทำไม่ได้เพราะเศรษฐกิจญี่ปุ่นชะงักงันอย่างยาวนาน พอเศรษฐกิจเริ่มฟื้น ก็เลยวัยที่จะไปหางานแข่งกับเด็กรุ่นหลังแล้ว นักศึกษาอเมริกันที่จบการศึกษาในปี 2007-2009 ที่ตกงานเพราะวิกฤตการณ์ตลาดการเงิน
สองพี่น้อง โอ๊ค –พานทองแท้ เอม-พิณทองทา ชินวัตร ก็จัดได้ว่าเป็น Lost Generation กับเขาได้เหมือนกัน แม้จะมีอยู่กันเพียง 2 คน หรือ 3 คนถ้ารวม น้องเล็ก อุ๊งอิ๊ง – แพทองธาร เข้าไปด้วย เพราะมีชิวิตที่ไม่เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ต้องขึ้นโรง ขึ้นศาล มีคดีติดตัว มีสังคมในวงแคบๆ ไปไหนมาไหน ต้องมีบอดี้การ์ดคอยติดตาม ไม่มีอิสระเสรีที่จะไปในทุกๆ ที่ที่ต้องการไป
แม้จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางกองเงินกองทอง ที่พ่อแม่สร้างไว้ แต่ก็ถูกพ่อ แม่ลากไปอยู่บนกองทุกข์ด้วย จึง เป็นชีวิตที่อยู่กันค่อนข้างลำบากพอสมควร อย่างที่พานทองแท้ เคยหลุดปากออกมา
นช.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ทราบผลคำพิพากษา ใส่สูทดำ ผูกเนคไทดำ พูดผ่านวิดีโอลิงค์ ขอโทษคุณหญิงและลูกๆ ที่ดื้อเข้ามาเล่นการเมืองจนทำให้ลูกเมียเดือดร้อน เรื่องที่ต้องขอโทษไม่ใช่เรื่องนี้ เพราะ การเล่นการเมือง หากเป็นไปโดยสุจริต ไม่ทำให้ลูกเมียเดือดร้อน นช.ทักษิณ ต้องขอโทษลูกเมีย โดยเฉพาะลูกโอ๊ค กับลูกเอม ที่ถูกพ่อใช้เป็นเครื่องมือในการปกปิด อำพราง การถือหุ้นนับตั้งแต่วันที่ลูกทั้งสอง บรรลุนิติภาวะ
น้องเล็กสุดท้อง แพทองธาร โชคยังดี ในวันที่พ่อกับแม่สาละวนซุกซ่อนทรัพย์สิน ยังอายุไม่ครบ 20 ปี หาไม่แล้ว คงจะเป็นโศกนาฎกรรมของครอบครัว ที่ทายาททั้ง 3 คน ต้องถูกคดี ขึ้นโรงขึ้นศาลกันหมด
คดียึดทรัพย์ 46,373 ล้านบาท แม้จะจบไปแล้ว แต่ผลของคดียังจะตามมาอีกมากมาย สำหรับโอ็คกับเอม อาจจะต้องเผชิญกับข้อหาให้การเท็จ เหมือนกับที่แม่และลุงเคยโดนมาแล้วในคดีเลี่ยงภาษี
คดีนั้น ซึ่งศาลอาญาพิพากษาจำคุกคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร กับ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ คนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา เป็นโทษฐานเลี่ยงภาษี 2 ปี อีก 1 ปี เป็นโทษฐานให้การเท็จ หรือตอบคำถามด้วยข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อเลี่ยงภาษี
ลูกๆ เคยถามพ่อกับแม่บ้างไหมว่า ทำไมเอาหุ้นมาซุกไว้กับลูก ทำไมไม่เอาไปซุกไว้ที่อื่น ทั้งๆที่รู้ว่า เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ลูกน้อง บริวารก็มีมากมาย ทำใมไม่ไปซุกไว้ตรงนั้นบ้าง
พานทองแท้ กับ พิณทองทา นั้น เห็นได้ชัดว่า ไม่รู้เรื่องอะไรเลยกับ การโยกย้าย ถ่ายเท ซื้อขายหุ้นชินคอร์ป เวลาสื่อถาม หรือให้การต่อ คตส. ให้ปากคำกับศาล ก็ตอบได้แต่เพียงว่า ไม่รู้ ไม่ทราบ เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เลขาฯ ของแม่จัดการให้ มอบอำนาจให้ตัวแทนไปจัดการแทนแล้ว
เป็นความกดดัน ที่พ่อกับแม่สร้างขึ้นมาให้กับลูก เป็นแรงกกดันที่คนที่เคยขึ้นโรงขึ้นศาลเท่านั้น จึงจะรู้ว่า มันเป็นอย่างไร
ลูกๆ ของนช.ทักษิณทั้งสองคนนี้ ควรจะได้มีชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไป แสวงหาความสุข สนุกสนาน และความมุ่งหมายที่ตัวเองปรารถนา โดยพ่อแม่คอยเกื้อหนุน เอื้ออาทร ไม่ใช่ถูกดึงเข้าไปอยู่ในวังวนการฉ้อฉลของพ่อ
คืนชีวิตที่เหลืออยู่ให้พวกเขาไปเสียเถิด อย่าให้ลูกต้องมารับกรรมที่พ่อกับแม่ก่อเอาไว้อีกเลย โอ๊คกับเอม น่าจะบอกพ่อว่า หยุดเถิดพ่อ จะทำร้ายประเทศชาติก็ทำไป แต่หยุดทำร้ายลูกเสียทีได้ไหม!!