โฆษก รบ.คาดเหตุป่วนเมืองยังมีอย่างต่อเนื่อง โยนฝ่ายความมั่นคงประเมินสถานการณ์ก่อนใช้ กม.พิเศษ ยอมรับเหตุระเบิดยากสาวตัวได้ ระบุกำหนดการนายกฯ เดินทางออสเตรเลีย 14-17 มี.ค.อาจเปลี่ยนได้ ด้าน ปชป.อ่านเกม “แม้ว” เดินหมากต่อกดดันรัฐบาลยุบสภา ปลุกคนไทยร่วมกันต่อต้านแผนป่วนเมืองของกลุ่มเสื้อแดง
วันนี้ (2 มี.ค.) นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นอีกว่า การสร้างสถานการณ์ก่อเหตุความวุ่นวายยังคงมีอยู่ในช่วงนี้ แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะเบาบางลง ส่วนจะมีความจำเป็นต้องประกาศใช้กฎหมายพิเศษเพื่อควบคุมการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์ของหน่วยงานด้านความมั่นคงก่อน ทั้งนี้ การก่อกวนสร้างสถานการณ์ของกลุ่มบางกลุ่ม จะยังเกิดขึ้นในช่วงนี้หากเกิดช่องว่างที่เจ้าหน้าที่ ไม่สามารถปิดช่องว่างตรงนี้ได้ คือความลดความน่าเชื่อถือของทหาร และของรัฐบาล
นายปณิธานกล่าวอีกว่า ส่วนรูปแบบในการสร้างสถานการณ์คงไม่ใช่แค่เพียงการลอบวางระเบิด แต่อาจเป็นการสร้างความตื่นตระหนกหรือปล่อยข่าวลือเพื่อทำให้เกิดความสับสน ทั้งนี้รัฐบาลต้องประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งภาครัฐและเอกชนให้จัดระบบการทำงานเชื่อมโยงกันมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เหตุลอบวางระเบิดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ค่อนข้างยากที่จะสาวไปถึงตัวผู้บงการได้ เนื่องจากมีการเตรียมการมาดี เช่น ลูกระเบิดที่นำมาใช้ก่อเหตุพบว่ามีการนำชิ้นส่วนมาประกอบกันจากต่างแหล่งที่มา เช่น ตัววัตถุระเบิดคือเ็อ็ม 67 แต่ส่วนที่เป็นกระเดื่องคือเค 81 เพื่อให้ยากต่อการสาวไปถึงต้นตอที่จะมีอาวุธในครอบครอง ขณะที่ผู้ลงมือก่อเหตุจะไม่ใช้ระดับมืออาชีพเพื่อให้สามารถตัดตอนได้เมื่อถูกเจ้าหน้าที่จับกุม และเชื่อว่าเหตุลอบวางระเบิดในหลายสถานที่ติดต่อกันในช่วงนี้น่าจะมีความเชื่อมโยงกัน
“คนที่ทำได้ต้องมีการวางแผน ต้องมีคนบอกเส้นทาง ตัวคนที่ทำหรือขว้าง(ระเบิด) สะเปะสะปะ อาจจะไม่ใช่มืออาชีพ เพราะถ้าจับได้ก็ถือว่าเป็นการตัดตอนไปเลย และถือว่าเป็นการก่อการร้ายแบบหนึ่ง โดยเป็นการก่อการร้ายที่ต้องการทำให้กระทบต่อความรู้สึกของประชาชน หรือกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนทั่วไป ซึ่งลักษณะนี้เป็นความต้องการกดดันการทำงานของรัฐบาลที่ยังหาตัวผู้กระทำผิดไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องหาแนวทางแก้ไขและรับผิดชอบต่อไป ซึ่งถ้าหากทำไม่ได้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลก็ลดลง
ส่วนการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนมีนาคมนั้น ยังมองไม่เห็นถึงเหตุผลที่จะนำไปสู่ความรุนแรง แต่รัฐบาลได้จัดเตรียมกำลังด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยไว้อย่างดีแล้ว ซึ่งจะมีทั้งกองกำลังประจำและกองกำลังผสมที่มีความสามารถดูแลผู้ชุมนุมได้ในระดับแสนคน เพียงแต่เจ้าหน้าที่ต้องเตรียมการป้องกันผู้ที่อาจจะเข้ามาแฝงตัวอยู่ในการชุมนุมเพื่อหวังผลก่อกวน และหากมีผู้มาร่วมชุมนุมจำนวนมากขึ้นก็ยอมรับว่าการจัดกำลังในการรักษาความปลอดภัยจะยิ่งยากขึ้น
ทั้งนี้ จุดหลักๆ ที่รัฐบาลต้องดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ เช่น วงเวียนใหญ่, หลักสี่, ทุ่งสองห้อง, ทางด่วน-ทางยกระดับ, บางนา-ตราด, สนามหลวง, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, สถานีรถไฟหัวลำโพง รวมถึงศาลากลางจังหวัดต่างๆ ที่อาจมีประชาชนเดินทางเข้ามาร่วมชุมนุมและอาจส่งผลให้การจราจรติดขัด โดยรัฐบาลพร้อมจะจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในระหว่างการชุมนุมให้ เช่น ห้องน้ำ และเต็นท์ให้เพราะอากาศจะร้อนมาก
นายปณิธานยังกล่าวถึงกำหนดการของนายกรัฐมนตรีที่จะเดินทางไปประเทศออสเตรเลีย ในระหว่างวันที่ 14-17 มี.ค. ซึ่งตรงกับการประกาศชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงว่า อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการได้ แต่อย่างไรก็ดี รัฐบาลไม่มีนโยบายที่ประกาศจะให้มีวันหยุดราชการในช่วงที่มีการชุมนุมใหญ่
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่าที่ประชุมได้ประเมินผลพวงที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 26 ก.พ. หลังการอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งประเด็นที่เกิดขึ้นจริง คือ 1.ประชาชนให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ 2.การใช้ความพยายามและความระมัดระวังในการอ่านคำพิพากษา ประมาณ 8 ชั่วโมง 3.พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวและผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาปฏิเสธคำพิพากษาอย่างสิ้นเชิง และ 4.ที่คาดว่าจะมีการป่วนเมืองที่เหมือนอาฟเตอร์ช็อกที่ไม่เกิดจากแผ่นดินไหวโดยตรง แต่เป็นผลพวงที่ตามมาจากการปาระเบิด 4 ครั้ง โดนน่าจะหวังผลทำลายภาพลักษณ์ทางเศรษฐกิจด้วย
นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า สุดท้ายแล้วที่ประชุมประเมินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปจะรุนแรงมากขึ้น แต่อยู่ในวิสัยที่รัฐบาลสามารถควบคุมได้ ซึ่งปัจจัยที่จะเกิดความรุนแรงมีอยุ่ 4 ปัจจัย คือ 1.ตัว พ.ต.ท.ทักษิณเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นจะตัดสินใจอย่างไร 2.เครือข่ายและบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณที่จะก่อให้เกิดคาวมรุนแรง 3.พรรคเพื่อไทยที่ต้องรับว่าวันนี้แยกออกจาก พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ และ 4.รัฐบาลต้องวางท่าทีต่อเหตุการณํที่เกิดขึ้นตามมา ซึ่งสิ่งที่จะนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ คือคนไทยทั้งประเทศจะมีปฏิกิริยาตอบโต้หรือไม่
นพ.วรงค์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่พรรคเชื่อว่ายุทธศาสตร์ที่พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงจะทำในอนาคต คือ การกดดันให้มีการยุบสภา เพราะหากปล่อยให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศต่อไป เกรงว่าประชาชนจะเข้าใจสถานการณ์และสนับสนุนรัฐบาลมากขึ้น ดังนั้น วิธีการที่นำไปสู่การยุบสภามี 2 ประเด็น คือ 1.การทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ด้วยการโหมเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน และคาดว่าจะมีเรื่องอื่นตามมาในเร็วๆ นี้ และ 2.พยายามสร้างสถานการณ์ผันผวนปั่นปวนสร้างความรุนแรงและนำไปสู่การเรียกร้องให้ยุบสภาในที่สุด