โฆษกมาร์คเย้ย “แม้ว” สติแตกใช้ ปชช.บังหน้าเพื่อป้องประโยชน์ตัวเอง เตือนอย่าดิ้นอุทธรณ์ เหน็บทีมทนายแม้วไม่ได้ความ แนะลิ่วล้อแม้ว” ยอมรับคำตัดสินศาล ท้าส.ส.เพื่อไทย ลงชื่อถอด 9 ตุลาการ ปัดรัฐทำบัญชีดำ 212 คน เชื่อไม่ใช่เอกสารราชการ
วันนี้ (2 มี.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จัดรายการทอล์กอราวด์เดอะเวิลด์ ที่พยายามปลุกระดมคนเสื้อแดง และการแสดงออกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตนคิดว่าเหมือนคนสติแตก คลุ้มคลั่งหลังจากที่เสียเงินจำนวนมาก และในเนื้อหาการจัดรายการจะเห็นได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณพยายามที่จะเอาประชาชนเป็นเกราะป้องกันตัวเอง และพยายามพูดออดอ้อนว่ามีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะช่วยได้ และเป็นการแสดงให้เห็นว่ากำลังเอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือ และการพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยและความยุติธรรม ตนคิดว่าเป็นเพียงมายากลใช้บังหน้าต่อการเคลื่อนไหว ซึ่งแท้ที่จริงในการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่า
นายเทพไทกล่าวว่า ส่วนรายระเอียดในรายการดังกล่าวที่ได้พูดถึง 2-3 ประเด็น น่าสนใจคือ ในเรื่องคำตัดสิน ที่บอกว่าคนที่ทุจริตแปลว่าเอาเงินจากภาษีประชาชน หรือเอาของรัฐมาใส่กระเป๋าตัวเอง และที่บอกว่าเป็นของตัวเองมาจากการขายหุ้น ตนคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าใจคำพิพากษาศาลที่ได้เขียนค่อนข้างละเอียดมาก โดยชี้ให้เห็นว่า การทุจริตไม่ได้หมายความว่าเอาเงินจากรัฐมาใส่กระเป๋า แต่การทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นในเรื่องของเชิงนโยบาย เป็นการทุจริจในเชิงผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับไปอ่านคำพิพากษาให้ดี และตนคิดว่าไม่ช้าเกินไปที่จะให้ลิ่วล้อของตัวเองส่งคำพิพากษาฉบับสมบูรณ์ไปให้อ่าน
ส่วนการที่ถามว่าทำไมบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป ทำไมไปยุคนแก่ คนแก่มากๆ ก็เหมือนเด็ก มีอาการอยากได้โน่นได้นี่ แต่ก็คำถามจากสังคมเหมือนกันว่า ความหมายของคนแก่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวอ้างนั้นคือใคร เพราะเชื่อว่าคนแก่อย่างน้อย 2 ท่าน เป็นบุคคลที่สังคมให้ความเคารพนับถือ และตนคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องพูดเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจน ไม่ควรพูดในลักษณะคลุมเคลือ ที่จะทำให้สังคมเข้าใจผิดได้ และการที่พูดถึงกระบวนการยุติธรรมและรัฐบาลทำเหมือนปิดประตูตีแมว ซึ่งตนอยากเรียนว่ารัฐบาลหรือสังคมไทย ไม่ได้คิดถึงเรื่องดังกล่าว แต่วันนี้กำลังปิดประตูเพื่อจับตีนแมว เพราะคนกลุ่มคนหนึ่งกำลังทำตัวเป็นขโมย ที่กำลังมาขโมยเงินของประเทศชาติ จึงจำเป็นต้องปิดประตูเข้าไปจับเพื่อตีแมวเหล่านี้
ส่วนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณและฝ่ายกฎหมาย ที่จะพยายามหาช่องทางอุทธรณ์ภายใน 30 วัน ซึ่งมีนักกฎหมายหลายท่านที่ออกมาแสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าวว่า ไม่สามารถที่จะกระทำได้ เพราะในข้อเท็จจริงในระบบไต่ส่วน ได้ปิดช่องทางที่เป็นจุดอ่อน เพราะในการเอาข้อเท็จจริงมายื่นอุทธรณ์ ตนคิดว่ายาก และการที่ทีมกฎหมายพยายามอ้างเอาเรื่องข้อกฎหมายมาเป็นประเด็นในการอุทธรณ์ ซึ่งตนคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังเชื่อทีมกฎหมายของตัวเอง และกำลังถูกทีมกฎหมายของตัวเองหลอก ให้เข้าสู่กระบวนการอุทธรณ์อีกครั้งหนึ่ง
“ผมอยากเตือน พ.ต.ท.ทักษิณว่า ต้องดูผลงานของทีมกฎหมายตัวเองว่ามีฝีมือและประสบผลสำเร็จบ้างหรือไม่ เพราะทีมกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนใหญ่เป็นทีมทนายไม่ได้ความ เพราะคนเหล่านี้มีหน้าที่วิ่งความไม่ได้ว่าความ คอยติดสินบนศาล คดีใดติดสินบนศาลไม่ได้ก็แพ้ อย่าว่าแต่ลูกความ ตัวทนายก็เคยติดคุกมาแล้ว ดังนั้น อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณไตร่ตรองให้ดีว่าจะถูกทนายความตัวเองหลอกอีกหรือไม่” นายเทพไทกล่าว
นายเทพไทกล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ขู่ล่าชื่อคนเสื้อแดงเพื่อยื่นถอดถอน 9 ตุลาการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า กลุ่มคนเสื้อแดงควรเอาความรู้สึกของคนทั้งประเทศ ที่แสดงความรู้สึกผ่านผลการสำรวจต่างๆ ว่า อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับในกระบวนการยุติธรรม ตนไม่อยากให้มีการล่าชื่อจากประชาชนคนธรรมดา และทางที่ดี ส.ส.พรรคเพื่อไทยทุกคน ควรร่วมลงชื่อถอดถอนตุลาการ จะได้พิสูจน์ว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ ถ้าเป็นการละเมิดก็จะได้เห็น ส.ส.หลายคนต้องติดคุกหมดสมาชิกภาพไป
นายเทพไทกล่าวปฏิเสธว่ารัฐบาลไม่ได้จัดทำแบล็กลิสต์รายชื่อบุคคลใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ 212 คน โดยเอกสารที่กลุ่มคนเสื้อแดงนำมาเผยแพร่ไม่ใช่เอกสารทางราชการ เพราะมีการพิมพ์รายชื่อผิด บางคนไม่มีนามสกุล และมีการพิมพ์ตำแหน่งผิด เรื่องนี้อาจเป็นเพราะบรรดาหัวโจกเป็นผู้จัดทำขึ้นมาหลอก เมื่อเผยแพร่ไปแล้ววนกลับมาถึงตัวเองก็เลยกลัวเอง อย่างนายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ที่บอกว่าทหารมาถ่ายรูปตอนตี 3 ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะใครๆ ก็รู้ว่าการถ่ายรูปตอนกลางคืนจะเห็นแสงแฟลชได้ง่าย และการที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย บอกว่าถูกคนติดตามไปที่แม้แต่ร้านตัดผม ตนสงสัยคงไม่ใช่เรื่องจริง เพราะว่าานายสุรพงษ์ยังมีผมให้ตัดด้วยหรือ