xs
xsm
sm
md
lg

เด็จพี่สวมรอย “จิ๋ว” เชื่อไอ้โม่งชักใยรัฐประหาร โค่นการเมืองขั้วตรงข้าม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์
โฆษกพรรคเพื่อไทยตีฝีปากชำแหละความล้มเหลวเป็นฉากๆ ทั้งนโยบายด้านความมั่นคง การปราบปรามทุจริตไม่ประสบผลสำเร็จ ตอกย้ำ กกต. 2 มาตรฐานจ่อยกคำร้องคดียุบพรรค ปชป.รับลูก ปธ.พรรค เชื่อไอ้โม่งอยู่เบื้อหลังยึดทรัพย์แม้ว ต้นเหตุขบวนการรัฐประหารล้มล้างการเมืองขั้วตรงข้าม

วันนี้ (28 ก.พ.) ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีลอบปาระเบิดที่หน้าธนาคารกรุงเทพ ถนนสีลม และธานคารกรุงเทพ สาขาพระประแดง เมื่อคืนวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า พรรคเพื่อไทยเคยเตือนแล้วว่า จะมีกลุ่มคนมีสีออกมาสร้างสถานการณ์เพื่อป้ายสีให้ขั้วการเมืองตรงข้าม แต่รัฐบาลก็ยังปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก ดังนั้นจึงสะท้อนความล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลด้านความมั่นคง ทั้งๆ ที่มีการตั้งด่านตรวจจำนวนมาก ใช้กำลังทั้งตำรวจและทหารรวมถึงงบประมาณมหาศาล แต่สุดท้ายกลับล้มเหลว จึงขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคนรอบข้างว่าอย่าโยนบาปให้ฝ่ายการเมืองขั้วตรงข้าม เพราะฝ่ายที่คิดต่างจากรัฐบาลไม่ได้รับประโยชน์อะไร จากการกระทำดังกล่าว ดังนั้นขอให้นายอภิสิทธิ์ทบทวนนโยบายด้านความมั่นคงใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนผู้รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงใหม่ เพราะนายสุเทพทำงานล้มเหลวซ้ำซาก ไม่ใช่ดีแต่พูดและสร้างภาพไปวันๆ แต่การบริหารไร้ประสิทธิภาพ

นายพร้อมพงศ์แถลงถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) รายงานการทุจริตคอร์รัปชันภาครัฐตั้งแต่ปี 2551-2552 ว่ามีแนวโน้มการทุจริตมากขึ้น รวมทั้งกรณีที่สำนักงานของเพิร์ก ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศรายงานว่า ปี 2552 ประเทศไทยมีการทุจริตเป็นอันดับ 2 ของเอเชียว่า สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของรัฐบาลในการปราบปรามการทุจริต รัฐบาลมีแต่สร้างหนี้มหาศาลแต่ผลาญด้วยการโกง ทั้งนี้การตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ปราบโกงและออก 6 มาตรการในการคุมการทุจริตนั้น เป็นเพียงการสร้างภาพรายวัน ไม่กล้าดำเนินการอย่างจริงจัง เช่น กรณีการซื้อขายตำแหน่งในกระทรวงมหาดไทย การทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ การประมูลจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของกรมการปกครอง การจัดซื้อเครื่องตรวจสารเสพติดอัลฟ่า 6 รวมถึงการทุจริตเกี่บวกับงบภัยพิบัติ แสดงให้เห็นว่ากระทรวงมหาดไทยยุคนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เป็น รมว.มหาดไทย และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ เป็นรมช.มหาดไทยนั้น เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน ดังนั้นขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตในกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสโดยไม่เลือกปฏิบัติ ใช้เงินภาษีของประชาชน ให้คุ้มค่าเพื่อพัฒนาประเทศและรักษาไว้ ซึ่งระบบธรรมาภิบาล เพื่อไม่ให้ข้าราชการประจำถูกแทรกแซงและกลั่นแกล้ง

นายพร้อมพงศ์แถลงถึงที่คณะทำงานของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ออกมาให้ข่าวในทำนองว่าจะมีการเสนอให้ยกคำร้องคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทเข้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้สรุปความผิดว่า เป็นการบริจาคเงินโดยผิดกฎหมายหรือเป็นเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมายว่า ข้ออ้างของ กกต.นั้นฟังไม่ขึ้น ส่อว่าจะช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้ถูกยุบพรรค ทั้งๆ ที่ กกต.ทั้ง 5 คนต้องลงมติวินิจฉัยเท่านั้น หากข่าวดังกล่าวเป็นความจริง อาจจะเข้าข่ายความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ดังนั้น กรณีนี้จะเป็นเครื่องวัดการทำงานของ กกต.ว่า บังคับใช้กฎหมายเป็น 2 มาตรฐานหรือไม่ หาก กกต.มีมติไม่ส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุด เพื่อร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณเองว่า กกต.สมควรที่จะเป็นองค์กรอิสระและเป็นที่พึ่งของพรรคการเมืองพรรคอื่นๆ นอกเหนือจากพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ระบุว่า ขณะนี้เอกสารส่วนสำคัญบางส่วนได้หายไปนั้น ขอถามประธาน กกต.ว่า กระแสข่าวดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ เพราะหากเป็นความจริงก็จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นประธานกกต.ต้องออกมาชี้แจง และตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงด้วย

โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและครอบครัว จำนวน 46,373,687,454.74 บาทว่า กระบวนการยึดทรัพย์เริ่มต้นจากการทำรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 2549 จากนั้นมีคำสั่งจากหัวหน้าคณะรัฐประหาร ออกประกาศตั้ง คตส.ขึ้นมาดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นมีกฎหมาย ป.ป.ช.ใช้บังคับอยู่ จึงถือว่าประกาศฉบับดังกล่าวของคณะรัฐประหาร มีลักษณะเลือกปฏิบัติ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 309 ไปรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายของประกาศคณะรัฐประหารดังกล่าว ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องตีความให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 309 และเป็นผลมาถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องถือตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ต้นตอปัญหามาจากรัฐธรรมนูญมาตรา 309 ที่ไปยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหารว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ทั้งๆ ที่การรัฐประหารเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตยและขัดต่อหลักนิติธรรม ซึ่งจะทำให้ในอนาคตการปฏิวัติรัฐประหารไม่มีวันหมดสิ้นไปจากประเทศไทย เป็นวงจรอุบาทว์ทางการเมืองต่อไป และจะปิดปากองค์กรที่เกี่ยวข้องให้ต้องวินิจฉัยตาม พรรคข้อเรียกร้องประชาชนว่า จะยอมรับวงจรอุบาทว์ที่มีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจการปกครอง และออกประกาศมาทำลายล้างขั้วการเมืองตรงข้ามอีกต่อไปหรือ

ด้านคณะผู้แทนองค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทย นำโดยคุณหญิงสมปอง วรรณิสสร เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อพรรคเพื่อไทย เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีการขึ้นบัญชีรายชื่อพระเถระผู้ใหญ่ว่าเป็นผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองที่ควรเฝ้าระวัง เนื่องจากเป็นการสร้างความมัวหมองและเสียหายต่อพระเถระผู้ใหญ่และต่อพระพุทธศาสนา ตลอดจนสร้างความแตกแยกแก่คนในชาติ โดยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่ปรากฎรายชื่อบุคคลจำนวน 212 คนที่ถูกรัฐบาลขึ้นบัญชีดำนั้น ในรายชื่อ 100 รายชื่อแรกเป็นคนตระกูลชินวัตร ตระกูลดามาพงศ์ คนใกล้ชิด รวมถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ส.ส.พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีของพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน นายทหารและนายตำรวจทั้งในราชการและเกษียณอายุราชการไปแล้วที่มีความใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทย ขณะที่อีก 101 รายชื่อเป็นกลุ่มนปช. นอกจากนี้ยังมีรายชื่อของพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ด้วยจำนวน 11 รูป และกลุ่มพระสงฆ์อีก 6 รูปที่ยังไม่ระบุชื่อด้วย ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รัฐบาลปากเป็นประชาธิปไตยแต่หัวใจเผด็จการ เหมือนปีศาจคาบคัมภีร์ ดังนั้น ตนจะไปยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 2 มี.ค.เวลา 10.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อสอบถามถึงเหตุผลในการขึ้นบัญชีดำดังกล่าว และจะไปยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในวันที่ 4 มี.ค. เวลา 10.00 น.เพื่อขอให้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

กำลังโหลดความคิดเห็น