"เกาะกระแส"
โดย....ก้อนกรวด
00 ถ้าจะเรียกว่าได้เวลานับถอยหลังสำหรับคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของ ทักษิณ ชินวัตร ก็คงไม่ผิด เพราะศาลฎีกาฯ นัดอ่านคำพิพากษาตอนตั้งแต่เวลาบ่ายวันที่ 26 ก.พ.เป็นต้นไป ถ้านับเวลากันตอนนี้ ก็ต้องว่ากันเป็นรายชั่วโมง และหากมองทะลุเข้าใปในหัวใจของ “คนเหลี่ยมจัด” คงจะกระวนกระวายหน้ามืดไปหมดแล้ว อีกด้านหนึ่งยังถือว่าเป็นช่วงนาทีทองของบรรดาแกนนำเสื้อแดงทั้งหลายแหล่ ที่ต้องแข่งกันเสนอโปรเจกต์ป่วน ทั้งก่อนและหลังวันพิพากษา เพื่อให้สร้างกระแสข่มขู่ เป้าหมายก็เพื่อให้บิดเบือนให้ตัวเองได้ประโยชน์มากที่สุด
00 เห็นได้ชัดก็คือเวลานี้บรรดา “คนเสื้อแดง” หลากหลายกลุ่มเริ่มประกาศชุมนุม มีการกำหนดตารางวัน เวลา ทั้งก่อน และตรงกับวันพิพากษา รวมไปถึงหลังวันพิพากษา แม้จะมีการออกตัวกันต่างๆ นานา เช่น “กลุ่มแดงสยาม” ของอดีตนักโทษคดีคอมมิวนิสต์อย่าง สุรชัย แซ่ด่าน (ด่านวัฒนานุสรณ์) ที่เคยประกาศว่าจะใช้ ทักษิณ เป็นเครื่องมือแล้วค่อยโค่นภายหลังก็นัดชุมนุมที่ท้องสนามหลวง ตั้งแต่ 25-27 ก.พ. ปักหลักอยู่ไม่ไกลจากศาลฎีกาฯ ที่จะใช้เป็นสถานที่อ่านคำตัดสิน ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือเจตนาเพื่อข่มขู่ศาล
00 หรือกรณีของ “จตุพร พรหมพันธุ์” หนึ่งในแดง “แก๊งหัวขวด” ประกาศ “เพ้อเจ้อ” ว่าจะชุมนุมใหญ่หลังวันพิพากษาราวต้นเดือนมีนาคม ว่าจะพาคนเข้ากรุงเป็นล้าน ใช้รถกระบะนับแสนคัน แม้ปากบอกว่าไม่เกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ แต่สังเกตให้ดีก็คือเป็นการประกาศก่อนวันพิพากษา นี่ก็ข่มขู่ชัดๆ อย่างไรก็ดี สิ่งที่มองเห็นอาการของ “นายใหญ่” ในขณะนี้ก็คือรู้ “ชะตากรรม” ล่วงหน้าแล้วว่าผลออกมาเช่นไร โดยเฉพาะมีการพูดถึงการขีดเส้นให้ “นิรโทษกรรม” ไม่เช่นนั้น “เละ” ก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เละ
00 เนื่องจากไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาอย่างไรก็ต้องมีคำอธิบายที่มาที่ไปอย่างละเอียด สมมุติว่า “ยึด” ก็ต้องชี้แจงที่ละประเด็น ไม่ใช่จู่ๆจะประกาศแค่ว่า ยึดทรัพย์แล้วเดินลงจากบัลลังก์เสียเมื่อไหร่ ต้องมีการอ่านเหตุผลให้ฟัง เชื่อว่าในวันนั้นต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงทีเดียว เพราะที่มาของทรัพย์สินนั้นมันซับซ้อนซ่อนเงื่อน
00 ดูจากกำพืดและแบ็กกราวด์ของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็อย่าได้แปลกใจที่ปฏิเสธเสียงแข็งว่าเหตุการณ์ในวันที่ “7ตุลาทมิฬ” ไม่ได้รุนแรงอย่างที่เห็นตำตา ขณะเดียวกันยังเห็นว่าการยิงระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าใส่ประชาชนจนแขนขาด ขาขาดนั้น เหมาะสมแล้ว ถือว่าเป็นคำพูดของคนใจดำ “อำมหิต” จริงๆ มิน่าบางครั้งคนบางคนทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด หรือคนที่ทุจริตเวลาราชการพาลูกน้องสาวเข้าม่านรูดกลางวันแสกๆ ปรนเปรอซื้อ “ตู้เย็น” ลองเป็นแบบนี้เรื่องชั่วอื่นๆ ก็ต้องทำได้เช่นเดียวกัน
00 น่ากังขาไม่เลิกสำหรับบริษัทที่เกี่ยวข้องโยงใยกับ “แม้ว” และคาดว่ายังต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยขอยกตัวอย่างเฉพาะ “เอไอเอส” ที่ถือหุ้นใหญ่โดย “ชินคอร์ป” และเวลานี้เจ้าของในทางสาธารณะคือ “เทมาเส็ก” จากสิงคโปร์ ที่ซื้อจากตระกูลชินวัตรมาตั้งแต่เมื่อต้นปี 2549 แต่ที่ต้องยกมาเป็นข้อสังเกตก็คือ จู่ๆ เอไอเอสได้ประกาศจ่ายเงินปันผลก่อนกำหนดที่บริษัทในตลาดทั่วไปดำเนินการ นั่นคือหลังสิ้นเดือนมีนาคม หรือผ่านไตรมาสแรกไปแล้ว แต่นี่ดันมาจ่ายเอาในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มก่อนวันตัดสินคดียึดทรัพย์ของ “เฮียเหลี่ยม” พอดิบพอดี แถมเงินปันผลต่อหุ้นช่วง 6 เดือนหลังของปี 2552 หุ้นละ 3.30 บาท รวมจ่ายปันผลพิเศษอีกหุ้นละ 5 บาท รวมเป็น 8.30 บาทต่อหุ้น ทำให้ชินคอร์ปที่ถือหุ้นใหญ่รับเงินไปอู้ฟู่คิดเป็นตัวเลขกลมๆไปถึง 14,300 ล้านบาท
00 กรณีที่เกิดขึ้นสร้างความฉงนงงงวยในวงการโบรกเกอร์กันไม่น้อยว่านี่อาจเป็นรายการยักย้ายถ่ายเทออกนอกให้ “นายใหญ่” ได้ใช้หรือไม่ หลังจากรู้ชะตากรรมล่วงหน้าในวันที่ 26 ก.พ. ก็ต้องกระตุก “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ในฐานะเลขา ก.ล.ต.ว่า จะตรวจสอบให้ชื่นใจได้บ้าง แต่คงต้องทำใจล่วงหน้าเพราะรู้กันอยู่แล้วว่า “คนกันเอง” ประเภทเด็กในบ้านกันทั้งนั้น แล้วมันจะได้เรื่องอะไร
00 แต่นี่ซิได้ลุ้นกันอีกรอบ เพราะจู่ๆนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นัดประชุม คณะกรรมการข้าราชการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตช.) ที่สภาในบ่ายวันนี้ (25 ก.พ.) แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แม้ว่าจะไม่มีวาระเรื่องตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ แต่งานนี้เชื่อว่า พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ คงแอบลุ้นอยู่ลึกๆ และในมุมทางการเมืองต้องไม่ธรรมดาแน่ ส่วนไม่ธรรมดาแบบไหน ก็ห้ามกระพริบตาเป็นอันขาด เด้อ !!