xs
xsm
sm
md
lg

ปมร้อนGT200 เครื่องมือลวงโลก สะเทือนขุมข่าย “น้ำเงิน+สีเขียว” “บิ๊กป๊อก”ไต่เส้นลวดเก้าอี้ผบ.ทบ.

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด


ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ยังดื้อแพ่ง ยืนยันที่จะให้กำลังพลใช้เครื่องจีที-200ในการตรวจสอบวัตถุระเบิดและยาเสพติดต่อไป ทั้งๆที่ผลการตรวจสอบเครื่องมือลวงโลกที่ว่านี้ “ด้อยประสิทธิภาพ” ชัดเจน

การตรวจสอบก็ได้รับความเชื่อถือจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หลังจากจีที 200 เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ การตั้งข้อสงสัยในเรื่องประสิทธิภาพจากหลายฝ่าย แม้กระทั่ง สื่อและรัฐบาลอังกฤษ ประเทศผู้ผลิตเอง

ผลการตรวจสอบด้วยวิธีดับเบิ้ล บลายด์ เทสต์(Double Blind Test) ผลปรากฏว่า การทดลองจำนวน20ครั้ง เครื่องจีที200 ตรวจสอบพบวัตถุระเบิดเพียง4ครั้ง หรือเทียบเป็นสัดส่วนในประสิทธิภาพของเครื่องมือแล้ว ทำงานได้ถูกต้องเพียง 1ใน5

สรุปได้ว่า จีที200 ทำงาน “เดาสุ่ม”

ฉะนั้น เมื่อพล.อ.อนุพงษ์ ก็เอ่ยปากยอมรับ และจะไม่ตรวจสอบเครื่องมือตรวจวัตถุระเบิดเจ้าปัญหาซ้ำอีกครั้ง แต่ก็ไม่ควรที่จะดื้อดึงให้ทหารในระดับปฏิบัติในพื้นที่ โดยเฉพาะจุดเสี่ยงใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใช้เครื่องจีที200ต่อไป

โดยอ้างเหตุผลถึงขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพล โดยเฉพาะทหารชั้นผู้น้อยไปปฏิบัติการตามแนวชายแดนเขาไม่มีเครื่องมือในการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน

เพราะถ้ามองอีกมุม การมีเครื่องมือที่ห่วยแตก นอกจากเปล่าประโยชน์ยังจะเพิ่มความเสี่ยงในการปฏิบัติงานของกำลังพล โดยเฉพาะหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด ที่หากต้องใช้เครื่องมือลวงโลกต่อไป ก็ยิ่งจะเสี่ยงกับอันตรายมากขึ้น

โดยเฉพาะที่พล.อ.อนุพงษ์ นำทีมแม่ทัพนายกอง เปิดแถลงข่าวเรื่องปัญหาเครื่องตรวจมวลสารรุ่นจีที 200 โดยยืนยันว่า จีที 200 ใช้งานมีประสิทธิภาพ มีการอ้างอิงตัวเลขมาตอบโต้ผลการตรวจสอบของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จากเจ้ากรมยุทธการกองทัพบก 

กองทัพบกจัดซื้อเครื่องจีที 200 ทั้งหมด 757 เครื่อง ใช้ในพื้นที่ภาคใต้ 524 เครื่อง พื้นที่ชายแดน 180 เครื่อง มีผลงานตั้งแต่ปลายปี 2551 ถึงปัจจุบัน มีผลงาน 118 ครั้ง เป็นการพบอาวุธ 32 ครั้ง และยาเสพติด 86 ครั้ง

ยกตัวเลขความสำเร็จสวยหรูมาอ้างอิง แต่ถามว่า ที่เครื่องตรวจสอบแล้วไม่เจอ ตรวจสอบผิดพลาด จนเจ้าหน้าที่หรือประชาชนต้องประสบเหตุสูญเสีย เจ็บตาย มีจำนวนเท่าไหร่

เรื่องนี้ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นกันอย่างง่ายๆ ก็เหมือนกับการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ว่ากันว่าสามารถช่วยป้องกันโรคร้ายจากการมีเพศสัมพันธ์ได้ หากใช้ถุงยางห้อหนึ่ง เมื่อหลงซื้อมาทั้งหมด20ใบ แต่ถึงเวลาใช้จริง ป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพียง5ถุง

ถามว่า ท่านชายท่านใดจะกล้าใช้ถุงยางนั้น  และไม่ใช่แค่1ใน5  แค่ประสิทธิภาพไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ไม่สมควรผลิตมาขายแล้ว

ถึงตรงนี้ก็ต้องขอสะกิดแรงๆไปยังท่านผบ.ทบ. เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นอกจากความเป็นชายชาติทหาร ที่ต้องยึดถือ “ความกล้าหาญ”เป็นสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏ ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก อย่าดื้อแพ่งเพื่อรักษา “หน้าตา”อีกเลย

ที่สำคัญ ผู้ที่จบจากนักเรียนโรงเรียนนายร้อยจปร. มีดีกรี ได้รับปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์บัณฑิต จะไม่เชื่อไม่ยอมรับ ต่อต้านการพิสูจน์ตามหลักการและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ที่มีตรรกะตรวจสอบได้หรือ

เช่นเดียวกับ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์  ที่สร้างชื่อเพราะมีภูมิความรู้เชี่ยวชาญเรื่องการตรวจสอบ พิสูจน์หลักฐาน เป็น“หมอผ่าศพ”ผู้โด่งดัง เพราะยึดถือเรื่องตรรกะความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่เล่าเรียนมา

เหตุไฉนยังดื้อดึงขึงขัง ย้ำยืนยันอยู่ไม่เลิกว่า เครื่องจีที200 มีประสิทธิภาพ ใช้งานได้ และจะใช้งานต่อไป หรือจะเป็นเพราะ สืบเพื่อศพ อยู่กับการพิสูจน์หลักฐานคนตายมากไป เลยหันไปหลงใหล เริ่มเชื่อศาสตร์ลี้ลับ เลยหันมาใช้ไม้ชี้หลุมศพแทน

“คุณหญิงหมอ”ที่พยายามแสดงตัวเป็น “ทุกคำตอบให้สังคม”หยิบจับไปทุกเรื่องราวประเด็นร้อนที่เกิดขึ้น อย่าให้ชื่อเสียงป่นปี้เพราะกลัวหน้าแตก  เพราะเป็นอีกรายที่รับประกันเครื่องมือลวงโลกบ้าบอมาแต่ต้น

ด้วยหน่วยงานในสังกัดของคุณหญิงหมอก็ติดบัญชีรายชื่อหน่วยงานที่สั่งซื้อเครื่องจีที200มาใช้งานถึง6เครื่อง แถมราคาจัดซื้อก็สูงลิ่วระดับหลักล้าน ทั้งๆที่หน่วยงานในรับผิดชอบ คือ การตรวจสอบพิสูจน์หลักฐานในระยะเวลา“หลังเกิดเหตุ” 

ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง กับวัตถุประสงค์ของเครื่องมือที่นำมาใช้ที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันตรวจสอบพิสูจน์ ป้องกันและป้องปราม “ก่อนเกิดเหตุ”

จนเป็นที่สงสัย งานด้านนิติวิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องมีเครื่องจีที200 ด้วยหรือ??

นอกจากนี้ ที่ต้องติดตามกันต่อไป ถึงกระบวนการตรวจสอบความผิดพลาดในการจัดซื้อเครื่องมือจีที200ที่ว่า เมื่อเรื่องมาถึงขั้นตอนที่รับรู้กันทั่วไปแล้วว่า เมื่อ“ผู้ใช้เสี่ยงตาย” ดังนั้นจะที่จะต้องตามมา “คนซื้อคนขายจะต้องติดคุก”

ทุกหน่วยงานที่มีการจัดซื้อเครื่องมือที่ว่าจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ จะปล่อยให้ “ค่าโง่”ที่เกิดขึ้นไม่มีคนรับผิดชอบไม่ได้ โดยเฉพาะกองทัพบก ที่จัดซื้อเครื่องจีที200มาต่อเนื่องตั้งแต่สมัย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นผบ.ทบ. ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยพล.อ.อนุพงษ์

จีที200 ทั้งหมด 757 เครื่อง มูลค่าหลักพันล้านบาท งบประมาณส่วนนี้จะต้องมีผู้รับผิดชอบ ในความผิดที่ทำให้เกิดการลวงโลกที่ไร้ค่าและสูญเปล่า

นายหน้า นักค้าอาวุธรายใด จะ“เสี่ยเล็ก”เสี่ยใหญ่ เอาเครื่องมือที่“บรมห่วย”มาหลอก “ต้มตุ๋น”นายทหารในกองทัพ หรือมีการสมคบคิด ปั่นราคา  เพื่อค่าต๋งค่าหัวคิวเป็นกอบเป็นกำ ก็เป็นประเด็นที่ผบ.ทบ.ต้องไปไล่เบี้ยไล่บี้ตรวจสอบ

อย่างไรก็ดี ประเด็นที่น่าสนใจและน่าจับตา กับกรณีเครื่องจีที200 กับความรับผิดชอบในตำแหน่งผบ.ทบ.ของพล.อ.อนุพงษ์ คือปมร้อนการเมือง ที่มีการประเมินถึงแรงสั่นสะเทือนระดับเขย่าโยกเก้าอี้เบอร์1ของกองทัพบก

พล.อ.อนุพงษ์ที่กำลังโดนเครื่องมือร้อน ทำเอา เป๋ไปเป๋มา จนต้องปักหลักให้มั่น ยืนยันเรื่องการใช้งานเครื่องมือที่ว่าต่อไป ส่วนหนึ่งมีการมองกันว่า เป็นเพราะความ “หนักอึ้ง”ของพล.อ.อนุพงษ์ ที่ต้องดื้อแพ่ง เนื่องจากกลัวสะเทือนไปทั้งเครือข่าย

นอกจากกองทัพบกที่จัดซื้อเครื่องจีที200 และเป็นประเด็นร้อนแรงลวกมือผบ.ทบ.อยู่ในเวลานี้ ยังมีของร้อนที่กระทรวงมหาดไทย ที่จัดซื้อเครื่องอัลฟ่า6 ที่เป็นเครื่องมือที่มีลักษณะเดียวกันกับจีที200  และกำลังถูกไล่เบี้ยตรวจสอบกันช็อตต่อไป
สองหน่วยงานที่มีคนในเครือข่าย “อำนาจใหม่” กำลังสั่นสะเทือนด้วยเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด รวมทั้งกำลังลุกลามบานปลายในเรื่องอื่นๆตามมา  โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ที่กำลังมีปัญหาความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารจัดการบุคลากรในองค์กร

จนมองได้ว่า หากพล.อ.อนุพงษ์ ไม่ตื๊อดึงเกม ที่เชื่อว่าถูกบางฝ่ายวางแผนกระทำ เพราะถึงแม้กรณีเครื่องจีที200จะถูกเปิดประเด็นโดยฝ่ายต่างๆ  แต่เรื่องมาแดง และร้อนแรงก็เพราะผู้นำประเทศรับลูกและขยายผล สั่งให้มีการตรวจสอบประสิทธิภาพกันอย่างจริงจัง

เหมือนเครือข่ายนี้จะเชื่อว่านายกฯเป็นผู้บงการเขี่ยปม สะกิดแผล ให้ลุกลามบานปลาย ให้พังกันไปทั้งเครือข่าย ขุมกำลัง“สีน้ำเงิน+เขียว”

จนเป็นเรื่องที่ต้องจับตากันต่อไป ในยามที่ศึกนอกประชิด กลุ่มม็อบเสื้อแดงกระเหี้ยนกระหือรือเผาบ้านป่วนเมือง รอเพียงสัญญาณจากนายใหญ่นช.ทักษิณ ชินวัตร จะกดปุ่มสั่งการให้ลุยกันเมื่อใด ก่อนหรือหลังคดียึดทรัพย์26ก.พ.

ขุมข่ายที่มีคนอยู่ในฝ่ายที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ทั้ง กองทัพ และกระทรวงมหาดไทย จะใส่เกียร์เดินหน้าตั้งรับ หรือถอยมาสู่จุดเกียร์ว่าง ทำหน้าที่ไม่เต็มขีดความสามารถหรือไม่...ต้องจับตา

ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ อนาคตของพล.อ.อนุพงษ์ ที่กำลังประคองตัวก่อนเข้าเส้นชัย เกษียณอายุราชการจากตำแหน่งเดือนตุลาคมนี้ จะเป็นไปตามเป้าประสงค์หรือไม่ เพราะในช่วงเดียวกันกับที่เครื่องมือลวงโลกกำลังร้อนแรงนี้ ข่าวไม่เป็นมงคลต่อพล.อ.อนุพงษ์หนาหูขึ้นทุกที

“บิ๊กป๊อก”อาจต้องขยับออกจากเก้าอี้ใหญ่กองทัพบก

ทั้งกระแสข่าวที่ว่า อาจลุกไปในตำแหน่งอื่นๆ เพื่อเปิดทางให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. ที่ฝึกงานเบอร์1กองทัพบก มาได้พักใหญ่ และรับประกันความชัวร์กับเก้าอี้ผบ.ทบ. ในช่วงการเมืองเข้าด้ายเข้าเข็ม ม็อบแดงเคลื่อนทัพ จนอาจเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้น

จึงมีการพูดถึงสูตรการป้องกันเหตุที่จะทำให้ฝันของพล.อ.ประยุทธ์ ไม่เป็นจริง โดยอาจมีการโยก พล.อ.อนุพงษ์ ไปในตำแหน่งอื่นในกองทัพ ที่ยังหาที่เหมาะสมลงตัวไม่ได้  หรือตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะเก้าอี้รมว.กลาโหม

รวมทั้งเก้าอี้ที่ “ทรงเกียรติ”และ“สูงส่ง”พอ ที่พล.อ.อนุพงษ์จะยอมรับได้
 
ทั้งหมดก็ยังเป็นแค่กระแสข่าวที่ยังต้องรอการคอนเฟิร์ม แต่ที่แน่ๆ กับปมร้อนจีที200 ที่เกิดขึ้นนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่แฮปปี้เป็นแน่ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะจะเดินหน้าสวนกระแสสังคม และข้อเท็จจริง ก็ทำไม่ได้ จะถอยเสียทีเดียวก็กลัวพัง ทั้งตัวเอง และกระทบไปทั้งเครือข่ายเพื่อนพ้องน้องพี่

โดยเฉพาะกับเก้าอี้ผบ.ทบ.ที่พล.อ.อนุพงษ์ นั่งอย่างมั่นคงมา4นายกฯ 3รัฐบาล ด้วยเวลา2ปีกว่า   มีแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้พอรับรู้ได้ว่าจะให้ครบกำหนด3ปี ก่อนลงจากเก้าอี้อย่างสง่างามนั้น

พล.อ.อนุพงษ์ ต้องประคองตัวเอง ไต่เส้นลวดกันเหนื่อย!!
กำลังโหลดความคิดเห็น