“เปลว สีเงิน” เหน็บ “บิ๊กป๊อก” เย็นใจม็อบแดงป่วนเมือง แต่กลับร้อนรนแถลงข่าว หลังนายกฯ สั่งระงับซื้อ “จีที 200” เพิ่ม ระบุกองทัพเป็นหยื่อประเทศมหาอำนาจหลอกขายสินค้า หรืออาจสมคบขายแล้วเอาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน ชี้เสื้อแดงมี 3 เกลอสู้แล้วรวย แต่อีกฝ่าย มี 4 เกลอนั่งเรออยู่แถว “รางน้ำ”
คอลัมน์ คนปลายซอย ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 หัวข้อ “ตบเท้าแถลง” ระวัง...แสลงใจคน? “เปลว สีเงิน” ได้แสดงความเห็นต่อกรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.และนายทหารระดับสูงในกองทัพบกตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 ก.พ.เกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200 ในทิศทางที่ย้อนศรต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ประกาศว่าจะไม่ให้ซื้อเครื่องมือนี้อีก หลังจากผลการทดสอบของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ระบุออกมาว่า สามารถตรวจหาระเบิดพบเพียง 4 ครั้งจากการทดสอบ 20 ครั้ง
“เปลว สีเงิน” เปรียบเทียบให้เห็นว่า ในช่วงที่ผ่านมา กองทัพบกมักไม่ได้แสดงความทุกข์ร้อนอะไรต่อเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การชุมนุมของคนเสื้อแดงหน้าสำนักราชเลขาธิการ หน้ากระทรวงกลาโหม หน้ากองทัพบก หน้าทำเนียบองคมนตรี หน้า กกต. หรือการยิงระเบิดหน้าทำเนียบ การซุกระเบิดหน้าศาลฎีกา การขู่ชุมนุมหน้าโรงพยาบาลศิริราช แต่พอนายกรัฐมนตรีแถลงว่า จะไม่ให้มีการจัดซื้อเครื่อง จีที 200 เพิ่มอีก พล.อ.อนุพงษ์กลับรีบตั้งโต๊ะแถลงข่าวสวนทางทันที โดยยืนยันว่าเครื่องมือดังกล่าวใช้งานได้ดี และจะยังให้ทหารใช้เครื่องมือนี้ต่อไป เพราะยังไม่มีเครื่องมือชิดอื่นที่ดีกว่า
นอกจากนี้ “เปลว สีเงิน” ยังระบุว่า กรณีเครื่องจีที 200 ที่หน่วยราชการไทยซื้อมาในราคาแพงแล้วใช้ไม่ได้ผลจริงตามคำกล่าวอ้างนั้น เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่ประเทศด้อยพัฒนาอย่างประเทศไทยถูกประเทศที่พัฒนาแล้วหลอกขายสินค้าที่อวดอ้างว่าไฮเทค มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งไม่ใช่แค่หลอกขายเครื่อง GT200 เท่านั้น ยังมีทั้งเครื่องบิน รถถัง เรือรบ เรือดำน้ำ อาวุธปืน คอมพิวเตอร์ แม้กระทั่งแก๊สน้ำตา รัฐบาลไทย และกองทัพไทย ก็ตกเป็นเหยื่อการหลอกขายหรือ ไม่หลอกแต่สมรู้ให้เขาหลอกขาย ไม่รู้จำนวนเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
และยังมีอีกหลายกรณีที่จะถูกประเทศพัฒนาแล้วเอาสินค้ามา"สมคบขาย"แล้วแบ่งผลประโยชน์กัน ในขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงมีแก๊ง 3 เกลอสู้แล้วรวย แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็มีแก๊ง 4 เกลอ ที่นอนเรอ อยู่แถวรางน้ำเช่นเดียวกัน
รายละเอียดคอลัมน์คนปลายซอย วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 “ตบเท้าแถลง” ระวัง...แสลงใจคน?
“แหม...พี่ป๊อกทำเอาผมตกอก-ตกใจ ทีหน้า-ทีหลังจะแถลงข่าวอะไร มากันซักสี่ซ้าห้าท่านก็พอมังครับ นี่เล่นมาเป็นกองทัพ "พรึ่บ..เป็นแผง" เต็มหน้าจอโทรทัศน์ชนิดไม่มีปี่-ไม่มีขลุ่ย ใครๆ เขาก็ต้องนึกว่า "พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา" ผบ.ทบ.ในดวงใจ เสธ.แดง นำคณะทหารมาปฏิบัติการ "นายกฯ อภิสิทธิ์" ของผมซะแล้ว!
ใครที่เพิ่งไปทำบายพาสหัวใจมา เปิดโทรทัศน์ตอนบ่ายวานนี้ (๑๘ ก.พ.๕๓) มีสิทธิ์ช็อกตายคาหน้าจอเอาง่ายๆ เพราะใครก็ไม่นึกฝันว่า "ต่อมเดือด" ของทหารวันนี้อยู่ที่เจ้าเครื่อง GT200 นี่เอง เพราะในรอบ ๒-๓ ปี มีเหตุทำให้บ้านเมืองพินาศป่นปี้หลายครั้ง-หลายคราว แต่ทหารท่านก็ถืออุเบกขา
"เย็นไว้...โยม"!
ก็ดูซี...ม็อบแดงไปชุมนุมหน้าสำนักราชเลขาธิการ-ก็แล้ว หน้ากระทรวงกลาโหม-ก็แล้ว หน้ากองทัพบก-ก็แล้ว หน้าทำเนียบองคมนตรี-ก็แล้ว หน้า ป.ป.ช. หน้า กกต.-ก็แล้ว ยิงเอ็ม ๗๙ ไปหน้าทำเนียบฯ-ก็แล้ว ซุกระเบิดข้างศาลฎีกา-ก็แล้ว ขู่จะไปชุมนุมที่โรงพยาบาลศิริราช-ก็แล้ว จิกกระชากลากหยาม ผบ.ทบ.-ก็แล้ว ทหารก็ยังคง....
"เย็นไว้...โยม"!
แต่พอนายกฯ อภิสิทธิ์แถลงผลตรวจสอบเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT200 ออกมา "ผลการทดลองปรากฏว่า การใช้อุปกรณ์นี้สามารถชี้ได้ถูก ๔ กล่อง จาก ๒๐ ครั้ง ซึ่งไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ....จะไม่มีการซื้ออุปกรณ์นี้เพิ่มเติมอีก" เท่านั้นแหละ
นายกฯ แถลงวันที่ ๑๖ ก.พ.ฉับพลันทันใด ห่างไปวันเดียว ตกบ่าย ๑๘ ก.พ.๕๓ พลเอกอนุพงษ์ระดมพลทันที
"เรื่องนี้มันร้อน....โยม"!
นั่งหัวโต๊ะ รายล้อมด้วยหัวหน้ากองทำลายวัตถุระเบิด กรมสรรพาวุธ เจ้ากรมยุทธการทหารบก เจ้ากรมส่งกำลังบำรุงทหาร แม่ทัพภาคที่ ๔ และคณะที่ปรึกษากองทัพ รวมถึงตัวแทนเจ้าหน้าที่จากกองทัพอากาศ เปิดแถลงข่าวถึงการจัดซื้อ และประสิทธิภาพของเจ้าเครื่อง GT200 ต่อสื่อมวลชนทันที!
เห็นขุนทหารสะพรึ่บ-สะพรั่ง ทั้งนั่ง ทั้งยืน ในยามหน้าสิ่ว-หน้าขวาน และยามหน้าดำ-จมูกบาน ของจตุพร พรหมพันธุ์ ท้าเหยงๆ อย่างช่วงนี้ ท่านเล่นมากันในบรรยากาศและรูปแบบ "เต็มอัตราศึก" คึกพิโรธ เห็นสภาพตามหน้าฉากจากจอโทรทัศน์ช่อง ๕ ช่อง ๑๑ และช่องอื่นๆ ที่แจมกันคนละฉึกสองฉึกแล้ว
ผมเงียะ...ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย...โยม!
ไม่ได้กลัวปฏิวัติ-รัฐประหารอะไรหรอก แต่กลัวเสียฟอร์มที่อุตส่าห์วางก้ามเป็นปรมาจารย์ทางการเมือง ทุบโต๊ะไปหลายเปรี้ยงว่า ตราบใดที่ยังไม่ถึงเดือนกรกฎา จะไม่มีรายการปฏิวัติ-รัฐประหารเกิดขึ้นเด็ดขาด
แต่พอให้ยินเสียงระนาดทุ้มของท่าน ผบ.ทบ.ว่าวันนี้จะมาทำความเข้าใจเรื่องเครื่อง GT200 ตาตุ่มก็ค่อยกลับไปอยู่ที่หัวใจตามเดิม พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา นี่ ท่านเป็นสุภาพบุรุษขุนทหารนักวิชาการดีจัง เกษียณแล้วขอจองท่านไปเป็นอาจารย์ที่นิด้า นอบน้อมถ่อมตน จะพูดจะจาก็นุ่มนวล แถมเป็นกองหน้า แต่ส่งลูกให้กองหลัง "ทำประตู" ได้เนี้ยบจริงๆ
คือกล่าวนำจบ ท่านก็โยนลูก-แจกบท ไปที่ลูกน้องแต่ละท่านให้แจกแจงแถลงไขในเรื่อง GT200 สรุปสาระหลักก็คือ นักวิชาการบอกว่า เหมือนไม้ล้างป่าช้า นายกฯ บอกว่า ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ทางทหาร โดยเจ้ากรมส่งกำลังบำรุงทหาร แม่ทัพภาคที่ ๔ และผู้ใช้งาน รวมถึงกองทัพอากาศ ตบเท้ายันและย้ำเป็นเสียงเดียวกันว่า
"ใช้งานได้ดี!?"
แล้วพลเอกอนุพงษ์ย้ำลงไปอีกที "ผมยอมรับว่า เราอาจจะไม่มีข้อมูล ไม่มีการทดสอบในทางวิทยาศาสตร์ แต่จากประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติที่ใช้เครื่องมือตรวจสอบแล้วได้ผล ๓๐๐ กว่าครั้ง ผมจึงต้องอนุมัติไปตามความต้องการที่เสนอมา เราจะตอบผู้ปฏิบัติงานที่อยู่ในพื้นที่อย่างไร หากเราไม่ซื้อ....."
อ้อ...จัดตามแฟนเพลง request นี่เอง!?
รายละเอียดผมคิดว่า เกือบทุกท่านคงนั่งตัวเกร็งฟังอยู่หน้าจอแล้ว ฉะนั้น ผมจะไม่ฉายหนังเก่าอีก แต่เท่าที่ผมเลียบๆ เคียงๆ เคาะถามท่าทีจากพรรคพวกบนกอง บ.ก.ไทยโพสต์ เขาบอกว่า
"แบบนี้ไม่ใช่การตั้งโต๊ะแถลงตอบข้อสงสัยสังคม แต่มันเป็นการตั้งโต๊ะแถลง 'ชักธงรบรัฐบาล' จากฝ่ายทหารชัดๆ!"
ก็ในขณะที่นายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศว่า จะไม่ซื้อมาใช้อีก จะตรวจสอบการจัดซื้อทั้งหมดถึงความโปร่งใส และจะถามในทำนองเคลมไปยังบริษัทผู้ผลิตในอังกฤษโน่นด้วยว่า "โฆษณาหลอกขายสินค้าอันไม่มีคุณภาพจริง" หรือไงกัน?
แต่ทหารกลับ "แสดงท่าทีทหาร" ตอบสนองฉับพลันทันใด "ก็จะใช้ต่อไป เพราะยังไม่มีเครื่องมือใดมาทดแทน"!
เจ้ากรมส่งกำลังบำรุงทหารท่านพูดขนาดว่า "ให้ดูที่ผลงานที่สามารถรักษาชีวิตเจ้าหน้าที่ ราคา ๙ แสน เทียบกับชีวิตของกำลังพลไม่ได้ ยืนยันว่าการดำเนินการทุกขั้นตอนในการซื้อหาถูกต้อง และเป็นไปตามระเบียบทุกประการ"
อืมมมม...ในความเห็นผมนะ "ทุกฝ่าย" อย่าพยายามทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ดีกว่า ผู้ใหญ่แต่ละฝ่าย "ใช้สติ" ให้มาก แล้วมานั่งปรึกษาหารือกันภายใน อย่าไปแสดงอะไรให้สังคมเห็นว่าขัดแย้งกัน-อายเค้า มันไม่มีใครผิด-ใครถูกหรอก เพราะมันเริ่มจาก "เจตนาดี" ของทุกฝ่าย อยากมีเครื่องไม้-เครื่องมือมาใช้งาน และเราก็ต้องยอมรับความจริง (ด้วยความขมขื่น) อยู่อย่างว่า
ด้วยโลกในเงื้อมมือของชาติผู้มีวิทยาการเหนือกว่า ประเทศด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนา รวมทั้งไทยเรา ล้วนเป็นเหยื่อทางการค้าของชาติมหาอำนาจผู้ค้า-ผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วยกันทั้งนั้น!
ไม่ใช่แค่หลอกขายไม้จิ้มหาผีในงานล้างป่าช้าอย่างเครื่อง GT200 นี้เท่านั้น ทั้งเครื่องบิน ทั้งรถถัง ทั้งเรือรบ เรือดำน้ำ อาวุธปืน คอมพิวเตอร์ ไม่เว้นกระทั่งแก๊สน้ำตา รัฐบาลไทย และกองทัพไทย ตกเป็นเหยื่อให้เขาหลอกขายบ้าง ไม่หลอกแต่สมรู้ให้เขาหลอกขายบ้าง ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
สมัยหนึ่ง สงครามตะวันออกลางฮิต เขาผลิตรถถังใช้วิ่งในทราย ก็ยังมีคนไปซื้อมาใช้วิ่งในป่า-ในเลนเมืองไทย หรืออย่างในโรงพยาบาลหลวง "เครื่องมือแพทย์" บางชนิด ราคาเป็นร้อย-เป็นพันล้าน สนองนักการเมืองซื้อมายัดไว้ตามใต้ถุนตึกก็ถมไป หรืออย่างที่เป็นข่าวล่าสุด สนามบินสร้างไว้เกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย
ขอโทษ...หมามันยังเมินไม่อยากไปขี้ใส่ วิ่งไปไม่ไหว เพราะสร้างทิ้งร้างว่างเปล่าไว้มากมายเหลือเกิน!
นี่คือ "ความฉิบหาย" จากระบบบริหารผลาญเงินบนหยาดเหงื่อประชาชนโดยไร้จิตสำนึก มันมากมายไม่รู้กี่แสนล้านล้านล้านบาทไทย ดังนั้น เรื่องเครื่องจีที200 ของกองทัพก็ดี อัลฟา ๖ ของมหาดไทยก็ดี มันเป็น ๑ ในล้านล้านของความเหลวไหล-ไร้ประสิทธิภาพและจิตสำนึกของระบบบริหารราชการไทย
แล้วเราจะมาทะเลาะ มาสร้างภาพขัดแย้ง "รัฐบาล-ทหาร" ให้ขัดตา-ปวดใจประชาชนยามบ้านเมืองมากไปด้วยเรื่องสุมหัวไปอีกเพื่ออะไรกัน ให้มันเป็นบทเรียน "เพื่อสำนึก-ตระหนัก" แล้วมาแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิดพลาดกันไม่ดีกว่าหรือ?
เมื่อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่า "ไม่มีนัยทางสถิติ" ไม่ซื้ออีก ก็สมเหตุผล แต่ที่ซื้อมาแล้ว และกำลังใช้อยู่ คนใช้เขาบอกว่า "เขาใช้ได้ผลดี" ก็ให้เขาใช้ไป เพราะต้องเข้าใจคำว่า "เครื่องมือ" มันก็แค่เครื่องใช้ประกอบ ไม่ใช่เครื่องหลัก นายกฯ อภิสิทธิ์ก็บอกกับ ส.ส.ในสภาฯ ว่ายังไม่มีเครื่องมืออะไรดีกว่านี้ให้ใช้ ในพื้นที่เขาจะใช้ เพื่อมั่นใจทางจิตวิทยา และทั้งเขายืนยันว่าได้ผล ก็ใช้ไป ไม่มีปัญหา
ซึ่งก็ตรงกับความเห็นของพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา กองทัพยังไม่มีเครื่องมือตรวจสอบที่ดีกว่านี้ ก็ต้องใช้ไป จะเอาไปทิ้ง หรือเอาไปเข้าโกดังไว้ มันจะเกิดประโยชน์อะไรเล่า ในเมื่อ มี-ไม่มี ค่าไม่ต่าง ก็มิสู้มีอะไรถือไว้ในมือซักอย่าง มันไม่ดีกว่าหรือ?
เครื่องจีที200 นี้ มันซื้อมาใช้ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ ผ่านมาหลายรัฐบาล ตั้งแต่ทักษิณ สุรยุทธ์ สมัคร สมชาย อภิสิทธิ์ อย่าไปเพ่งเล็งว่ารัฐบาลไหนเขาจะหากินกับเรื่องแค่นี้เลย ก็อย่างว่านั่นแหละ "มันเป็นเหยื่อเทคโนโลยี" เราเจริญไม่ทันวิทยาการเขา ก็เลยเสร็จเขา ประเด็นหลักที่ควรสนใจก็คือ
นายซูการ์โน มะทา ส.ส.ยะลา พรรคเพื่อไทย เขาตั้งข้อสงสัยถามนายกฯ ในสภาฯ ว่า "กลาโหมจัดซื้อ ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อ ๒๓ มี.ค.๕๒ จำนวน ๒๒๒ เครื่อง มูลค่า ๑๙๙ ล้านบาท ครั้งที่สองวันที่ ๒๘ เม.ย. จำนวน ๑๒๙ เครื่อง มูลค่า ๑๒๐ ล้านบาท เฉลี่ยราคาเครื่องละ ๙๐๐,๐๐๐-๑,๔๐๐,๐๐๐ บาท โดยการจัดซื้อวิธีพิเศษ
ในขณะที่ "กรมศุลกากร" มีการจัดซื้อโดยวิธีการประมูล แต่มีราคาเครื่องอยู่ที่เครื่องละ ๔๒๐,๐๐๐ บาท?
เครื่องอัลฟา ๖ ที่กระทรวงมหาดไทยจัดซื้อ ๒ ครั้ง เพื่อใช้ตรวจสอบสารเสพติดเหมือนกัน มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่เครื่องละ ๕๐๐,๐๐๐-๗๓๐,๐๐๐ บาท
แต่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) มีการจัดซื้อเครื่องอัลฟา ๖ ในราคาเฉลี่ยเครื่องละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท?
นี่แหละ...ตรงนี้แหละที่เป็นประเด็น "ต้องเคลียร์" แต่ส่วนที่ไปซื้อของเด็กเล่นมาใช้เพื่อชาตินั่นถือเป็น "ความโง่" ร่วมกันของชาติ ภายใต้ผู้บริหารที่ชาติเรา "ผลิตทรัพยากรบุคคล" มาป้อนชาติได้เท่านี้!
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม้ล้างป่าช้า-ก็ดี ไม้ตะเกียบ-ก็ดี สุนัขดมกลิ่น-ก็ดี จีที๒๐๐-ก็ดี ใครอยากจะใช้อย่างไหน ก็โปรดใช้ตามสบายเถอะครับ เพราะราคา ๙ แสน มันจิ๊บจ้อยเมื่อเทียบกับค่าราคาชีวิตกำลังพล (ท่านว่างั้น) ในประเทศที่ด้อยพัฒนา ยังมีอีกมากมายนักหนาที่จะถูก อังกฤษ-อเมริกา-ยุโรป-ญี่ปุ่น "สมคบขาย" ได้แล้ว...แบ่งกัน
ในยุคที่ พวกแก๊ง ๓ เกลอ "สู้แล้วรวย"
แต่พวกแก๊ง ๔ เกลอ "นอนเรอ" อยู่รางน้ำ มันก็ต้องปลงไปวันๆ อย่างนี้แหละคร้าบ!”