xs
xsm
sm
md
lg

แก้ปัญหาเสื้อแดงป่วน โผล่ที่ไหน“สาดน้ำ”ไล่ "

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เรื่องมันฟ้อง
โดย...กรงเล็บ

"ใครใช้ความรุนแรงก่อนคนนั้นแพ้"

เป็นวลีที่เราได้ยินจนชินหูตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา โดยคำพูดและความเชื่อดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์การเมืองในหลายช่วง

ไม่ว่าจะเป็นช่วง 14 ตุลา 16 ที่รัฐบาลเผด็จการทหารใช้กำลังปราบปราม นิสิต นักศึกษา ประชาชน อย่างรุนแรง จนในที่สุดก็เข้าสู่จุดอับแห่งความล่มสลายในเชิงอำนาจ จากการก่ออาชญากรรมโดยรัฐ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยพลังของภาคประชาชน

เหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535 การรวมตัวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยขยายวงกว้างไปสู่ภาคประชาชนที่เข้ามามีบทบาทสอดประสานกับพลังของนักศึกษา จนกระทั่งถูกรัฐบาลเผด็จการทหารของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ก่ออาชญากรรมโดยรัฐอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการใช้กำลังทหารล้อมปราบอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้สติกับทั้ง พล.อ.สุจินดา และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำผู้ชุมนุม นำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งของ พล.อ.สุจินดา ตามมาด้วยความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และความล่มสลายอีกครั้งของพลังเผด็จการทหาร

เหตุการณ์ 7 ตุลา 51 รัฐบาลนอมินี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ใช้กำลังตำรวจระดมยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ประชาชนที่ชุมนุมหน้ารัฐสภา จนมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว 2 ราย และบาดเจ็บกว่า 500 คน แม้รัฐบาลในขณะนั้นจะพ้นจากอำนาจไปเพราะคำตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน และพรรคชาติไทย ของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่จากการใช้กำลังกับผู้ชุมนุม

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลจากการใช้ความรุนแรงหรือก่ออาชญากรรมโดยรัฐในครั้งนั้น

สะเทือนบัลลังก์อำนาจของ สมชาย อย่างมีนัยยะสำคัญ จนนำไปสู่ข้อเรียกร้องจากทุกภาคส่วนในสังคม ไม่เว้นแม้แต่กองทัพที่เสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ แต่รัฐบาลสมชายก็มิได้นำพาทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสมชายก็แพ้ภัยตัวเองจากพฤติกรรมกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง จนถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคในที่สุด

มีเพียงครั้งเดียวในประวัติศาตร์การเมืองไทยที่การก่ออาชญากรรมโดยรัฐได้รับชัยชนะ และขบวนการนักศึกษาที่เรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพพ่ายแพ้อย่างหมดรูป จนต้องถอยร่นเข้าป่าพร้อมกับบาดแผลฉกรรจ์จากการยัดเยียดข้อหาคอมมิวนิสต์ คือ เหตุการณ์วิปโยคในวันที่ 6 ตุลา 19

เหตุผลที่ทำให้พลังนักศึกษาประสบกับความพ่ายแพ้ เป็นเพราะสังคมไทยในขณะนั้นมีความหวาดวิตกต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ ทำให้ฝ่ายเผด็จการที่ครองอำนาจใช้เป็นเครื่องมือในการใส่ร้าย ป้ายสี ขบวนการนักศึกษาอย่างเป็นระบบ ผ่านวิทยุยานเกราะ ซึ่งถือเป็นการสื่อสารที่ทรงพลังอย่างยิ่งในอดีต

จนนำมาซึ่งการล้อมปราบรุนแรงของ ตำรวจตระเวนชายแดน หน่วยคอมมานโด หน่วยปฏิบัติการพิเศษ สันติบาล ตำรวจท้องที่ ตำรวจน้ำ ลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง นวพล และ “เครือข่ายวิทยุเสรี” นำโดยวิทยุยานเกราะ

ดังนั้นการใช้คำพูดว่า “ใครใช้ความรุนแรงก่อนคนนั้นแพ้” นั้น คงไม่ใช่สัจธรรมที่จะใช้ได้ในทุกสถานการณ์ เพราะหากนำเอาเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 มาเทียบเคียงจะเห็นได้ชัดเจนว่า สังคมไทยยอมรับการก่ออาชญากรรมโดยรัฐ เนื่องจากมีการปูพื้นฐานสร้างความชอบธรรมด้วยการป้ายสีว่า บรรดานิสิต นักศึกษา เป็นภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ จนนำไปสู่การกวาดล้างครั้งใหญ่ ก่อนที่จะมีการปิดบาดแผลนี้ด้วยการให้โอกาสผู้เข้าป่ากลับสู่เมืองเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย

สถานการณ์ของชาติบ้านเมืองในช่วงกุมภาพันธ์ 53 คงไม่มีใครต้องการให้เกิดเหตุที่จะต้องต่อท้ายเดือนด้วยคำว่า กุมภาทมิฬ หรือ กุมภาเลือด

แต่ภาครัฐเองก็ต้องตระหนักถึงภาระหน้าที่ของตัวเองโดยไม่ติดกับดักวลี ใครใช้ความรุนแรงก่อนคนนั้นแพ้ จนไม่กล้าที่จะเด็ดขาดต่อการควบคุมสถานการณ์เพื่อให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบเรียบร้อย รัฐบาลมีหน้าที่ต้องดูแลให้บ้านเมืองอยู่รอด

มีคำถามว่ารัฐบาลมี“ความชอบธรรม”มากพอในการจัดการกับกลุ่มผู้ไม่หวังดี ที่สร้างความปั่นป่วนในบ้านเมืองด้วยการนำปัญหานช.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นปัญหาของชาติหรือไม่? คำตอบคือ มีแน่นอนและสังคมจะเรียกร้องมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย

ไม่ใช่เพราะเขาเกลียดชังทักษิณ หรือคนเสื้อแดง

ไม่ใช่เพราะคนไทยนิยมความรุนแรง

แต่เป็นเพราะการชุมนุมของคนเสื้อแดงไร้ความชอบธรรม เนื่องจากเป็นการต่อสู้เพื่อคน ๆ เดียว โดยพยายามที่จะสวมเสื้อคลุมประชาธิปไตยว่าต่อสู้เพื่อระบบ ทั้ง ๆ ที่ทุกการเคลื่อนไหวก็ถูกจับได้ไล่ทัน ว่า มิได้เป็นไปเพื่ออุดมการณ์แต่ทำเพื่อ “อุดมกิน”และ “ความอยู่รอดของทักษิณ” โดยอาศัยประชาชนผู้บริสุทธิ์มาเป็นเครื่องมือ

พฤติกรรมหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง การปลุกระดมให้ใช้ความรุนแรงต่อสังคมไทย การพาดพิงกล่าวหาประธานองคมนตรีเพื่อตีกระทบคราดไปถึงสถาบันหลักของชาติ ฯลฯ มิใช่เรื่องที่ภาครัฐใส่ร้าย ป้ายสี คนเสื้อแดง

แต่ปรากฎชัดเจนและทิ้งร่องรอยหลักฐานให้เห็นจากผู้อยู่เบื้องหลังเสื้อแดงตัวพ่อ อย่างนช.ทักษิณ รวมไปถึงลิ่วล้อสายเหยี่ยวที่อ้าปากแยกเขี้ยว พร้อมเขมือบประเทศไทยเต็มที่

ก่อนที่รัฐบาลจะได้แสดงบทบาทเข้มแข็งในการเข้าควบคุมสถานการณ์ช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ เราอาจได้เห็นการแสดงออกของประชาชนที่จะร่วมต่อต้านการชุมนุมที่ไร้เหตุผลของคนเสื้อแดงกัน ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งคนเสื้อแดงเตรียมปิดถนนสีลมตั้งแต่เที่ยงวันถึงหกโมงเย็นเพื่อล้อมธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่

อย่าลืมว่า ณ ที่แห่งนี้ คือ จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนในสังคมได้ยินเสียงขับไล่ ทักษิณ กลางเมืองหลวงเป็นครั้งแรก และจุดประกายทำให้การขับไล่ ทักษิณ ขยายวงกว้างออกไปในอีกหลายพื้นที่

ไม่แน่ว่า ลูกสมุนทักษิณอาจได้วัดรอยเท้าพ่อ ด้วยการประสบชะตากรรมที่ไม่แตกต่างกัน

ถึงเวลาแล้วที่คนในสังคมจะออกมาแสดงพลังต่อต้านพฤติกรรมทำร้ายชาติ บ้านเมืองเพื่อปกป้องคนเพียงแค่คนเดียว

ไม่ต้องทำอะไรมาก ขอแนะนำให้ใช้สันติวิธี คือแค่อยู่ในที่สูง ไม่ว่าจะเป็นบนตึก หรือ สะพานลอย แล้วสาดน้ำใส่กลุ่มคนที่ออกมาป่วนชาติ โดยไม่จำเป็นต้องไปด่าทอ เพราะอาจบานปลายทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างประชาชน

เพียงแต่รวมพลังกันแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยไม่ยอมรับที่จะให้ยกระดับปัญหาทักษิณ มาเป็นปัญหาของชาติบ้านเมือง

แล้วเราจะจับมือกันก้าวข้ามสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อคนไทย ไม่ว่าจะเป็นสีไหนก็ตาม


กำลังโหลดความคิดเห็น