เรื่องมันฟ้อง
โดย...กรงเล็บ
ประวัติศาสตร์การเมืองยุค 6 ตุลานั้น เจ้าหน้าที่รัฐอยู่ในฐานะผู้ร้าย แต่ปัจจุบันแกนนำเสื้อแดงเป็นผู้จุดชนวนความรุนแรง ยั่วยุให้มีการล้อมปราบโดยใช้ชีวิต เลือดเนื้อของมวลชนคนเสื้อแดงเป็นเครื่องสังเวยเพียงเพื่อให้ “นช.ทักษิณ” ได้รับชัยชนะ บนความย่อยยับฉิบหายของชาติบ้านเมือง
พลิกดูแผนลับรัฐบาลสั่งฆ่าประชาชน 37 หน้า ตามคำเลี้ยงแกะของ “จตุพร พรหมพันธุ์” แล้วหลายตลบ ก็ยังไม่เห็นความชั่วช้าสามานย์ที่รัฐจะใช้ความรุนแรงล้อมปราบประชาชนอย่างที่ “จตุพร” กล่าวหา
จะว่าไปแล้ว ข่าวความมั่นคงรั่วไหลคราวนี้ ถือเป็นการตอกย้ำว่า มีคนของ “ระบอบทักษิณ” ฝังรากลึกไปทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะในส่วนราชการที่มีข้าราชการ “ทรยศ” ต่อการเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แต่ในมุมกลับกันเอกสารที่ถูกนำมาเผยแพร่ กลับให้ผลดีต่อภาครัฐมากกว่า เพราะสะท้อนให้เห็นว่า
นอกจาก “จตุพร” จะถนัดกุมเป้ารับใช้ นช.ทักษิณ เป็นอาจิณแล้ว ยังมีความสามารถแฝงในการปั้นให้เรื่องจริงกลายเป็นเรื่องน้ำเน่ายิ่งกว่าละครโทรทัศน์อีกด้วย
เมื่อพินิจพิเคราะห์รายละเอียดทั้งหมดของเอกสารฉบับดังกล่าว ก็เป็นเพียงแค่ “คู่
มือการทำงาน”ของฝ่ายความมั่นคงเพื่อเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงเท่านั้น
ไล่เรียงตั้งแต่รายละเอียดของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ความแตกต่างในการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแต่ละฉบับ สถานการณ์ใดที่จะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พื้นที่สำคัญที่ต้องให้การอารักขาดูแล การประจำพื้นที่ตามจุดต่างๆ ของทหารและตำรวจ ไปจนถึงกองกำลังสนับสนุนจากหน่วยทหาร ที่ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อเสริมกำลังทันทีที่มีเหตุฉุกเฉินจะมาจากหน่วยไหน โดยมีการระบุว่ามาจากกองทัพทหารราบที่ 9 กาญจนบุรี และหน่วยรบพิเศษลพบุรี ซึ่งเป็นไปสถานการณ์ปกติเพราะหน่วยเหล่านี้อยู่ใกล้กรุงเทพฯ สามารถสนับสนุนกำลังได้รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ แต่ “จตุพร” กลับเพ้อเจ้อว่าหน่วยทหารดังกล่าวเข้ามาเพื่อฆ่าประชาชน
ทั้งๆ ที่ไม่มีเอกสารใดระบุให้เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าเป็นทหารหรือตำรวจปฏิบัติการตามคำขี้ตู่ของ “จตุพร” หลักๆ ก็มีเท่านี้ ไม่มีการระบุว่ารัฐจะใช้กำลังเข้าล้อมปราบคนเสื้อแดง โดยใช้ยุทธวิธีเดียวกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 19, ยิงเอ็ม 79 ใส่ รพ.ศิริราช อันเป็นสถานที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อใส่ร้ายคนเสื้อแดง, คุมตัวแกนนำ 1 คน เพื่อลดจำนวนผู้ชุมนุม 1 พันคน ฯลฯ
เลอะเทอะ เลื่อนเปื้อน และเป็นคำพูดที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมโดยสิ้นเชิง
หากจะมีการนำสถานการณ์ปัจจุบันไปเทียบเคียงกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ก็
ต้องบอกว่ามีความเหมือนบนความต่าง เหมือนกันตรงที่ 6 ตุลา 19 มีการใช้สื่อสารมวลชนเป็นเครื่องมือ ในการโฆษณาชวนเชื่อทำลายฝ่ายตรงกันข้ามให้กลายเป็นคนโฉดชั่วในสายตาของประชาชน อันเป็นการกระทำของภาครัฐโดยใช้วิทยุยานเกราะเป็นฐานที่มั่นสำคัญ ขณะที่ในปัจจุบันรัฐบาลกลับอ่อนหัดในการใช้สื่อเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน เพิ่งจะมาตีตื้นจากการเผยแพร่ข้อเท็จจริงคดี 7.6 หมื่นล้านอย่างต่อเนื่อง ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง
ฝ่ายที่ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อตัวจริงคือฝ่ายคนเสื้อแดงและทักษิณ ที่ใช้สื่อสาร
มวลชนทุกชนิดที่มี ไม่ว่าจะเป็นวิทยุชุมชน โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม หรือแม้แต่ผ่านช่องทางสื่อสารบนโลกไซเบอร์
อีกประเด็นหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ในยุค 6 ตุลา 19 มีการใช้บุคคลที่ได้รับความเชื่อถือจากสังคมมาชี้นำให้ประชาชนรู้สึกว่าการใช้ความรุนแรงต่อฝ่ายตรงกันข้ามเป็นเรื่องที่ถูกต้องและควรทำ โดยรัฐบาลขณะนั้นใช้ พระกิตติวุฑโฒ เจ้าของวลี “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” ผ่านการให้สัมภาษณ์ผ่านหนังสือพิมพ์ “จตุรัส” จนกลายเป็นวาทกรรมที่กลุ่มนวพล และกระทิงแดง นำไปใช้เป็นคำขวัญในการปลุกระดมให้ใช้ความรุนแรงกับนิสิตนักศึกษา
ขณะที่ปัจจุบันคนเสื้อแดงใช้ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านกฎหมายอย่าง มานิตย์ จิตจันทร์กลับ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ออกมาโฆษณาชวนเชื่อให้คนเสื้อแดงใช้ความรุนแรงกับบุคคลในรัฐบาลได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ผ่านการปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดง ด้วยวาทกรรมที่ว่า
“พี่น้องมีสิทธิ์ที่จะหยิบอาวุธขึ้นทำร้ายไอ้โจรที่มาปล้นแผ่นดิน ไม่ผิดกฎหมายครับ อาจารย์มานิตย์ยืนยัน ครับ มีปืนใช้ปืน มีมีดใช้มีด มีขวานใช้ขวาน มีจอบมีเสียม ทำลายโจรได้ครับ ไม่มีความผิด เพราะมันรับคำสั่งจากหัวหน้าโจร” (13 เม.ย. 52)
“ถ้าเราจะมาที่สภาฯนี่ พี่น้องไม่ต้องเอามา อาวุธไม่ต้อง แต่ถ้าเมื่อไหร่จะไปจัดการไล่โจรกบฏ ไล่อภิสิทธิ์กับพวก ไล่ คมช.พี่น้องเตรียมอาวุธไปได้ เพราะเราจะไปจับโจร จะไปไล่โจร...” ( 4 ก.พ. 53 เว็บไซต์ ไทยอินไซเดอร์) นี่ไม่นับรวมกับคำพูดของ “อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง” ที่ให้นำขวดพร้อมน้ำมันให้ได้ล้านลิตรทำกรุงเทพฯ ให้เป็นทะเลเพลิง และล่าสุด “จตุพร” คุกคาม นายกฯ บิดา และ พล.อ.เปรม จะไม่ปลอดภัย ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่าฝ่ายคนเสื้อแดงมีแนวคิดที่จะใช้ความรุนแรงมาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องไปถึงมือหมาเน่าลอยน้ำอย่าง “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” กับ “เสธ.แดง” ด้วยซ้ำ
เหตุการณ์วันนี้หากจะเหมือน 6 ตุลา 19 ก็เป็นความเหมือนในเชิงรูปแบบ คือ มีการใช้สื่อทำลายความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม ใช้ความรุนแรงหวังได้รับชัยชนะ แต่ต่างกันตรงที่ประวัติศาสตร์การเมืองยุค 6 ตุลานั้น เจ้าหน้าที่รัฐอยู่ในฐานะผู้ร้าย
แต่ปัจจุบันแกนนำเสื้อแดงเป็นผู้จุดชนวนความรุนแรง ยั่วยุให้มีการล้อมปราบโดยใช้ชีวิต เลือดเนื้อของมวลชนคนเสื้อแดงเป็นเครื่องสังเวยเพียงเพื่อให้ “นช.ทักษิณ” ได้รับชัยชนะ บนความย่อยยับฉิบหายของชาติบ้านเมือง