โฆษกรัฐบาลตอกหน้าพระยาละแวก หลังเผลอพลั้งปาก พื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นพื้นที่พิพาท ชี้ถือเป็นข่าวดีกับแนวทางต่อสู้ เข้าทางกรอบมรดกโลกทำไทยได้เปรียบทันที
วันนี้ (9 ก.พ.) นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรี เดินทางไปบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทเขาพระวิหาร นั้น ทางการไทยต้องขอบคุณนายฮุนเซนเป็นอย่างมาก ที่มีการยอมรับครั้งแรกว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ข้อพิพาท โดยระบุว่า “พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ไทยอ้าง” ซึ่งแสดงว่านายฮุนเซนเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวมีข้อพิพาทเกิดขึ้นจริง เพราะเป็นพื้นที่ที่ไทยอ้างกรรมสิทธิ์ทับกับกัมพูชาอยู่ เพราะที่ผ่านมาทางการไทยมีจุดยืนชัดเจนว่าต้องมีการเจรจาและร่วมมือกันในพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งศาลโลกไม่ได้ตัดสินให้เป็นของกัมพูชา แต่กัมพูชาไม่เคยยอมรับอย่างเป็นทางการว่ามีข้อพิพาท โดยกัมพูชาทำแผนขึ้นมาเองและส่งไปยูเนสโก เพื่อขอพัฒนาโดยปฏิเสธไม่รับรู้ว่า มีข้อพิพาทอย่างเป็นทางการ
ดังนั้น คำยอมรับดังกล่าวจะเข้ากรอบของคณะกรรมการมรดกโลกทันที ที่ระบุว่าพื้นที่ที่ไหนที่ยังมีข้อพิพาท ประเทศนั้นๆ ต้องตกลงกันก่อนที่จะนำแผนการพัฒนาเข้ามา ซึ่งทางการไทยจะไปทวงจุดยืนตรงนี้กับคณะกรรมการมรดกโลก ว่าหากเป็นแบบนี้คณะกรรมการมรดกโลก ต้องรอให้ไทยตกลงกับกัมพูชาก่อน เพราะเป็นคำพูดของนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเองที่ระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวยังมีข้อพิพาทอยู่
“ดังนั้น การเยือนครั้งนี้ต้องขอบคุณผู้นำกัมพูชา ที่ยอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่ที่ขัดแย้งจริง และไทยจะนำประเด็นนี้ไปพูดกับคณะกรรมการมรดกโลก ไม่แน่ใจว่านายฮุนเซน ทราบหรือไม่ ผมคิดว่าเขาอาจจะนึกไม่ถึงก็ได้ว่า การเดินทางเข้ามาครั้งนี้ ประเด็นในเรื่องการต่างประเทศมันซับซ้อนมาก การเดินทางเข้ามา เพื่อแสดงศักยภาพทางทหารอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะประเด็นระหว่างประเทศซับซ้อนกว่านั้น ดังนั้นการที่นายฮุนเซน เดินทางมาตรงนี้ ไทยมีจุดยืนที่ชัดเจนว่า พื้นที่ตรงนี้มีข้อพิพาท พัฒนาการที่เกิดขึ้น คือนายฮุนเซน มาสนับสนุนจุดยืนเราโดยปริยาย”
นายปณิธานกล่าวย้ำว่า เรื่องนี้เป็นหลักกฏหมายระหว่างประเทศ เพราะการเข้ามาพื้นที่เหล่านี้ ที่เขายอมรับตามกฎเกณฑ์ของไทย ก็เท่ากับเป็นการยอมรับอธิปไตยของไทยโดยปริยาย เช่น การที่เขาประกาศว่าจะมาประสาทตาเมือนธม และไทยได้ยื่นเงื่อนไขว่าต้องปลดอาวุธ จนกระทั่งเขาเปลี่ยนใจไม่มา ถือว่าเป็นการยอมรับแล้วว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย เพราะถ้าเป็นพื้นที่ของเขาจริงนายฮุน เซน ก็สามารถเข้ามาได้เลยพร้อมติดอาวุธมาได้ เพราะไม่มีพื้นที่ไหนที่ผู้นำประเทศไปแล้วต้องปลดอาวุธตัวเองแน่นอน
ดังนั้นจึงเป็นการยอมรับโดยปริยายว่าปราสาทตาเมือนธม อยู่ในการดูแลอธิปไตยของไทย ส่วนการเข้ามาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารนั้น ทางการไทยกำลังพิจารณาอยู่ แต่ ซึ่งไทยต้องพยายามชี้แจงให้คณะกรรมการมรดกโลกเข้าใจต่อไป ทั้งนี้ไม่ว่ากรรมการมรดกโลกจะฟังหรือไม่ ไทยก็จะยังสงวนอธิปไตยของไทย เพราะองค์กรเหล่านี้เป็นเพียงองค์กรสากลระหว่างประเทศ แต่อำนาจอธิปไตยยังอยู่กับไทย และในที่สุดแล้วเรื่องการตกลงเรื่องอธิปไตยขึ้นอยู่กับคู่กรณี องค์กรเหล่านี้ไม่มีหน้าที่ในการปักปันเขตแดนใดๆ ทั้งสิ้น
นายปณิธานกล่าวว่า เชื่อว่าส่วนหนึ่งที่นายฮุนเซนเดินทางมาบริเวณเขาพระวิหาร เป็นเพราะได้รับแรงกดดัน จากการที่ต้องจดทะเบียนเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ ซึ่งล่าช้ามานานเพราะไทยประท้วงและไม่เห็นด้วย เชื่อว่าเรื่องนี้คงมีแรงกดดันจากหลายด้านทั้งการท่องเที่ยว และเรื่องชาตินิยม ซึ่งทางไทยคงไม่วิพากษณ์วิจารณ์