“วสิษฐ” ควง “ธานี” เข้าพบนายกฯ หารือก่อนเดินหน้าสอบซื้อขายเก้าอี้ตำรวจ เผยนายกฯ ย้ำจับตา ตร.ภาค 2 เป็นพิเศษหลังโยงการเมืองจนเป็นข่าวครึกโครม กำหนดกรอบ 7 วันรายงาน เผยเป็นอำนาจ “มาร์ค” ตัดสินใจเอง ยันทำเต็มที่และเที่ยงตรง ระบุอาจเสร็จรายงานนายกฯ ได้ก่อน 14 กุมภาฯ นี้
วันนี้ (8 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 17.50 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้หารือกับ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
จากนั้นเวลา 18.30 น. พล.ต.อ.วสิษฐ เปิดเผยว่า เป็นการพบปะกันครั้งแรกระหว่างนายกรัฐมนตรีกับตน หลังจากที่เลือกให้ตนเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยนายกรัฐมนตรีได้ย้ำในเรื่องของนโยบายว่าสิ่งที่ได้ยินมาในเรื่องการแต่งตั้งตำรวจ โดยเฉพาะของกองบัญชาการตำรวจภาค 2 มันเกรียวกราวมาก และก็เป็นความจริง ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะวงการตำรวจ แต่เป็นความเสียหายที่กระทบถึงประชาชนที่ต้องพึ่งตำรวจด้วย ฉะนั้น นายกฯ ได้ฝากเรื่องนี้ แน่นอนเมื่อตั้งเป็นกรรมการแล้ว ก็ถือเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการที่จะต้องพิจารณาว่าตกลงมีมูล หรือเป็นความจริงหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการกำหนดระยะเวลาหรือไม่จะต้องสอบสวนให้แล้วเสร็จภายในกี่วัน พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า กรอบเวลาภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 7 ก.พ.ในวันที่ตนรับทราบคำสั่ง ส่วนจะเพียงพอในการสอบสวนหรือไม่ ยังไม่สามารถทราบได้ จนกว่าจะประชุมกรรมการ เพราะเวลานี้เรามีทั้งตัวเอกสารและตัวบุคคล ถึงเวลานั้นอาจจะต้องเชิญเขามาหารือในพุธที่ 10 ก.พ.นี้ โดยสถานที่ พล.ต.อ.ธานี จะเป็นผู้กำหนด ก็คงแถวๆ นี้ ทั้งนี้ ในการสอบสวนก็จะสอบไปตามคำสั่งที่นายกฯ ระบุ คือสอบสวนเฉพาะที่มีการร้องเรียนในส่วนของภาค 2 คงไม่เกี่ยวกับภาคอื่น เพราะไม่ได้อยู่ในกรอบคำสั่ง
เมื่อถามว่าเรื่องร้องเรียนเบื้องต้นเป็นเฉพาะปัญหาของตำรวจหรือมีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาการโยกย้ายครั้งนี้ด้วย พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า เบื้องต้นมีทั้ง 2 อย่าง เมื่อถามว่าผลจากการสอบครั้งนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งโยกย้ายได้หรือไม่ พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า กรรมการชุดนี้ไม่เกี่ยว เพียงแต่ดูว่ามีการแต่งตั้งที่ถูกต้องหรือชอบไม่ชอบ และมีความเห็นอย่างไรก็เสนอนายกฯ เป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องตัดสินใจต่อไปในฐานะผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การสอบสวนตรงนี้ยังไม่พบปัญหา เพราะปัญหาอยู่ในกระดาษ ส่วนจะพบความผิดในการซื้อขายตำแหน่งหรือไม่ เป็นเรื่องที่ตนพูดคนเดียวไม่ได้ ขอไม่พูด จะพูดในฐานะอะไรก็ไม่ได้ เพราะขณะนี้ตนไม่ใช่ตำรวจแล้ว
เมื่อถามว่าการสอบสวนจะมีความยากลำบากหรือไม่ เพราะปัญหาการโยกย้ายมักไม่มีใครกล้ามาเป็นพยาน ทำให้หาหลักฐานยาก พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า อีกกี่วันก็รู้ว่ามีใครกล้ามาไม่กล้ามา ส่วนร้องเรียนมาเท่าไหร่นั้นยังไม่ได้นับมันหลายพันเรื่อง เมื่อถามการสอบสวนในภาค 2 ถือว่ามีความรุนแรงมากที่สุดหรือไม่ ถึงต้องมีการตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาดู พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า ก็มันดังกว่าเพื่อน เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นนายตำรวจเก่าเชื่อหรือไม่ว่าเรื่องนี้มีมูล พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า ตนจะบอกว่ามีมูลหรือไม่มีไม่ได้ ขณะนี้พูดในฐานะตำรวจเก่าไม่ได้ ต้องพูดในฐานะประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ ส่วนที่จะเชิญใครมาบ้างนั้นยังไม่ได้คิดเพราะมีผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคน เจ้าหน้าที่ควรจะรู้ก็มี ต้องหารือคณะกรรมการก่อน ส่วนผู้ที่มายื่นเรื่องถ้าเต็มใจจะมาให้ข้อมูลถ้าเต็มใจมาก็เรียก ถ้าหากหลักฐานเอกสารจะต้องใช้คนประกอบด้วย ก็จะเชิญผู้เกี่ยวข้องมา ถ้าเอกสารสมบูรณ์ก็ไม่ต้อง
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลเคยตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีการทุจริตในกระทรวงสาธารณสุข กรณีนี้จะเทียบเคียงกันได้หรือไม่ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าไปเทียบเคียงอะไร มันคนละเรื่อง อันนี้มันเรื่องตำรวจ นั่นมันเรื่องหมอ เมื่อถามว่าการเสนอเรื่องนี้ต่อนายกรัฐมนตรีอาจะต้องเสนอให้นายกรัฐมนตรีต้องตัดสินใจบางสิ่งบางอย่างด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า คณะกรรมการมีอย่างเดียว เมื่อมีการประชุมหารือกันแล้วมีความเห็นอย่างไร ก็เสนอนายกฯ ต่อจากนั้นก็เสนอนายกฯ ในฐานะผู้บังคับบัญชา
“ส่วนเรื่องนี้ตำรวจจะคาดหวังการสอบของคณะกรรมการชุดนี้ได้มากน้อยแค่ไหนว่าจะสร้างความเป็นธรรมขึ้นได้หรือไม่นั้น ต้องไปถามตำรวจ อย่ามาถามผม สำหรับผมแล้วทำเต็มที่และกรรมการที่มาก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงเป็นที่นับถือ เที่ยงตรงทั้งสิ้น สำหรับผมแล้วไม่หนักใจ และหากผลสอบเสร็จก่อนวันที่ 14 ก.พ.อาจรายงานนายกฯ ก่อนได้” พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าว
วันนี้ (8 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 17.50 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้หารือกับ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
จากนั้นเวลา 18.30 น. พล.ต.อ.วสิษฐ เปิดเผยว่า เป็นการพบปะกันครั้งแรกระหว่างนายกรัฐมนตรีกับตน หลังจากที่เลือกให้ตนเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยนายกรัฐมนตรีได้ย้ำในเรื่องของนโยบายว่าสิ่งที่ได้ยินมาในเรื่องการแต่งตั้งตำรวจ โดยเฉพาะของกองบัญชาการตำรวจภาค 2 มันเกรียวกราวมาก และก็เป็นความจริง ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะวงการตำรวจ แต่เป็นความเสียหายที่กระทบถึงประชาชนที่ต้องพึ่งตำรวจด้วย ฉะนั้น นายกฯ ได้ฝากเรื่องนี้ แน่นอนเมื่อตั้งเป็นกรรมการแล้ว ก็ถือเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการที่จะต้องพิจารณาว่าตกลงมีมูล หรือเป็นความจริงหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการกำหนดระยะเวลาหรือไม่จะต้องสอบสวนให้แล้วเสร็จภายในกี่วัน พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า กรอบเวลาภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 7 ก.พ.ในวันที่ตนรับทราบคำสั่ง ส่วนจะเพียงพอในการสอบสวนหรือไม่ ยังไม่สามารถทราบได้ จนกว่าจะประชุมกรรมการ เพราะเวลานี้เรามีทั้งตัวเอกสารและตัวบุคคล ถึงเวลานั้นอาจจะต้องเชิญเขามาหารือในพุธที่ 10 ก.พ.นี้ โดยสถานที่ พล.ต.อ.ธานี จะเป็นผู้กำหนด ก็คงแถวๆ นี้ ทั้งนี้ ในการสอบสวนก็จะสอบไปตามคำสั่งที่นายกฯ ระบุ คือสอบสวนเฉพาะที่มีการร้องเรียนในส่วนของภาค 2 คงไม่เกี่ยวกับภาคอื่น เพราะไม่ได้อยู่ในกรอบคำสั่ง
เมื่อถามว่าเรื่องร้องเรียนเบื้องต้นเป็นเฉพาะปัญหาของตำรวจหรือมีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาการโยกย้ายครั้งนี้ด้วย พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า เบื้องต้นมีทั้ง 2 อย่าง เมื่อถามว่าผลจากการสอบครั้งนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งโยกย้ายได้หรือไม่ พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า กรรมการชุดนี้ไม่เกี่ยว เพียงแต่ดูว่ามีการแต่งตั้งที่ถูกต้องหรือชอบไม่ชอบ และมีความเห็นอย่างไรก็เสนอนายกฯ เป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องตัดสินใจต่อไปในฐานะผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การสอบสวนตรงนี้ยังไม่พบปัญหา เพราะปัญหาอยู่ในกระดาษ ส่วนจะพบความผิดในการซื้อขายตำแหน่งหรือไม่ เป็นเรื่องที่ตนพูดคนเดียวไม่ได้ ขอไม่พูด จะพูดในฐานะอะไรก็ไม่ได้ เพราะขณะนี้ตนไม่ใช่ตำรวจแล้ว
เมื่อถามว่าการสอบสวนจะมีความยากลำบากหรือไม่ เพราะปัญหาการโยกย้ายมักไม่มีใครกล้ามาเป็นพยาน ทำให้หาหลักฐานยาก พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า อีกกี่วันก็รู้ว่ามีใครกล้ามาไม่กล้ามา ส่วนร้องเรียนมาเท่าไหร่นั้นยังไม่ได้นับมันหลายพันเรื่อง เมื่อถามการสอบสวนในภาค 2 ถือว่ามีความรุนแรงมากที่สุดหรือไม่ ถึงต้องมีการตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาดู พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า ก็มันดังกว่าเพื่อน เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นนายตำรวจเก่าเชื่อหรือไม่ว่าเรื่องนี้มีมูล พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า ตนจะบอกว่ามีมูลหรือไม่มีไม่ได้ ขณะนี้พูดในฐานะตำรวจเก่าไม่ได้ ต้องพูดในฐานะประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ ส่วนที่จะเชิญใครมาบ้างนั้นยังไม่ได้คิดเพราะมีผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคน เจ้าหน้าที่ควรจะรู้ก็มี ต้องหารือคณะกรรมการก่อน ส่วนผู้ที่มายื่นเรื่องถ้าเต็มใจจะมาให้ข้อมูลถ้าเต็มใจมาก็เรียก ถ้าหากหลักฐานเอกสารจะต้องใช้คนประกอบด้วย ก็จะเชิญผู้เกี่ยวข้องมา ถ้าเอกสารสมบูรณ์ก็ไม่ต้อง
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลเคยตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีการทุจริตในกระทรวงสาธารณสุข กรณีนี้จะเทียบเคียงกันได้หรือไม่ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าไปเทียบเคียงอะไร มันคนละเรื่อง อันนี้มันเรื่องตำรวจ นั่นมันเรื่องหมอ เมื่อถามว่าการเสนอเรื่องนี้ต่อนายกรัฐมนตรีอาจะต้องเสนอให้นายกรัฐมนตรีต้องตัดสินใจบางสิ่งบางอย่างด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า คณะกรรมการมีอย่างเดียว เมื่อมีการประชุมหารือกันแล้วมีความเห็นอย่างไร ก็เสนอนายกฯ ต่อจากนั้นก็เสนอนายกฯ ในฐานะผู้บังคับบัญชา
“ส่วนเรื่องนี้ตำรวจจะคาดหวังการสอบของคณะกรรมการชุดนี้ได้มากน้อยแค่ไหนว่าจะสร้างความเป็นธรรมขึ้นได้หรือไม่นั้น ต้องไปถามตำรวจ อย่ามาถามผม สำหรับผมแล้วทำเต็มที่และกรรมการที่มาก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงเป็นที่นับถือ เที่ยงตรงทั้งสิ้น สำหรับผมแล้วไม่หนักใจ และหากผลสอบเสร็จก่อนวันที่ 14 ก.พ.อาจรายงานนายกฯ ก่อนได้” พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าว
