“ผ่าประเด็นร้อน”
ต้องยอมรับว่าการเดินสายดาวกระจายไปตามหน่วยงานกองทัพตามสถานที่ต่างๆของ “คนเสื้อแดง” ในสังกัด ทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้ ก็ต้องยอมรับว่าทำได้กวนประสาทได้เข้าเป้าจริงๆ เริ่มมาจากการยกขบวนแค่ไม่กี่ร้อยคนไปยืนด่าบรรดาผู้นำกองทัพที่กองบัญชาการทหารบก ไล่ดะลงมาตั้งแต่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก อ้างว่าการเดินทางไปครั้งนั้นเพื่อจะเค้นคอถามในเรื่องของการปฏิวัติ รวมไปถึงการแสดงออกถึงปฏิกิริยาต่อต้านการปฏิวัติอีกด้วย
ประเภทพวกคนเสื้อแดง รวมไปถึง ทักษิณ เป็นนักประชาธิปไตยในสายเลือด เมื่อได้กลิ่นไม่ดีทีไรเป็นต้องออกมาต่อต้านอะไรประมาณนั้น
นอกจากนี้ยังมีคิวเดินสายไปยืนด่าทหารตามหน้าป้อมค่ายต่างๆ ทั่วประเทศตามมาอีก ล่าสุดเมื่อวานนี้ (2 ก.พ.) คนเสื้อแดงในปริมาณไม่กี่ร้อยคนก็ยกขบวนไปที่กระทรวงกลาโหมโดยมีเป้าหมายเดียวกัน ตามกำหนดการเดิมจะไปด่า “ป.ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตั้งแต่เที่ยงไปถึงค่ำแล้วก็เลิกรากันไป และเมื่อไปแล้วไม่ให้เสียเที่ยวก็หาเรื่องด่า นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยกประเด็นในเรื่องหนีทหารมาฉายซ้ำจะเป็นไรไป
ส่วนกำหนดการคิวเดินสายในต่างจังหวัดเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.เป็นต้นไปที่คนเสื้อแดงจะไปคาดคั้นตามหน้าค่ายทหารว่าจะปฏิวัติหรือไม่ ซึ่งจำนวนคนไม่เน้น แต่เน้นเฉพาะคำด่าหยาบคาย สร้างอารมณ์โกรธเอาไว้ก่อน
สังเกตให้ดียุทธการดังกล่าวของคนเสื้อแดงมีลักษณะชั่วคราว แบบไปเช้าเย็นกลับ หรือไปเที่ยงเย็นกลับ หรือแม้กระทั่งไม่ถึงชั่วโมงกลับก็ยังมี
สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ พฤติกรรมของคนเสื้อแดงที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้และในวันหน้าก็น่าจะเป็นหนึ่งในแผนทำลายสถาบันหลัก ที่มาถึงคิวของสถาบันทหาร ซึ่งก็ต้องพุ่งเป้ามาที่กองทัพบก เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีศักยภาพสูงสุด หลังจากก่อนหน้านี้ได้เริ่มทำลาย สถาบันองคมนตรี และสถาบันศาล โดยกล่าวหาในเรื่องสองมาตรฐานมาแล้ว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่คนกลุ่มนี้มองเห็นและกำลังแซะเข้าไปในกองทัพ เนื่องจากมองเห็นแล้วว่าภายในมีร่องรอยความเป็น “เอกภาพ” ไม่เต็มร้อย เห็นได้จากเกิดเหตุลอบยิงเอ็ม 79 เข้าใส่ห้องทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์ ภายในกองบัญชาการทหารบก เมื่อเช้ามืดวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา แม้ว่าต่อมาจะมีการค้นบ้านพัก “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลพบอาวุธสงครามจำนวนมาก และมีการดำเนินคดีกับทหารรับใช้ไปจำนวนหนึ่ง ขณะที่ตัว เสธ.แดง ก็ถูกหมายเรียกไปให้ปากคำ ซึ่งก็เพิ่งเดินทางไปเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมานี่เอง
น่าสนใจก็คือ กรณีที่เกิดขึ้นแม้ว่าสังคมส่วนหนึ่งจะมองว่าเป็นฝีมือของ เสธ.แดง โดยเฉพาะในเรื่องของเอ็ม 79 ได้กลายเป็นยี่ห้อที่แปะอยู่กลางหน้าผากของเขาไปแล้ว แต่ขณะเดียวกันเป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่ลงมือยิงอาวุธสงครามดังกล่าวใส่ห้องทำงานของผู้บัญชาการทหารบกอาจเป็นทหารกลุ่มอื่นที่ไม่พอใจ เนื่องจากหลายคนถูกกันออกมายืนอยู่นอกวง หลังจากที่กลุ่ม “บูรพาพยัคฆ์” ผงาดขึ้นมารับช่วงอำนาจต่อๆกันมา
แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าในข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร หรือใครจะเป็นคนลงมือกันแน่ แต่กลายเป็นว่า พล.อ.อนุพงษ์ ได้ไฟเขียวให้ดำเนินคดีกับ เสธ.แดง อย่างจริงจัง และครั้งนี้ถือว่า “ปรี๊ดแตก” เพราะก่อนหน้านี้แม้ว่าจะถูกตำหนิแรงๆโดยใช้ถ้อยคำหยาบคายขึ้นมึงกูผิดวิสัยผู้ใต้บังคับบัญชาที่พูดกับผู้บังคับบัญชาที่เป็นถึงผู้บัญชาการทหารบก แต่พล.อ.อนุพงษ์ ก็ยังเก็บอาการได้ดี แต่นานเข้าก็ทนไม่ไหวจนนำไปสู่การสั่งการและไฟเขียวให้ดำเนินคดีพร้อมทั้งมีการเคลื่อนไหวตบเท้าให้กำลังใจของบรรดานายทหารที่คุมกำลังหลายแห่งอย่างพร้อมเพรียง
แต่หากมองอีกมุมหนึ่งกลับกลายเป็นว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นตามธรรมชาติ ถูกมองอย่างตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการกระทำเพื่อ “ส่วนตัว” เป็นการเน้นปกป้องผู้บังคับบัญชา และทหารที่ออกมาตบเท้าดังกล่าวส่วนใหญ่ก็ล้วน “กันเอง” ทั้งนั้น เริ่มจากระดับผู้บังคับกองพันในกรมทหารราบที่ 2 และกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ที่ พล.อ.อนุพงษ์ เคยใช้เป็นเส้นทางในการเติบโตมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีอีกหลายหน่วยตามมา แต่ก็อย่างที่ระบุเอาไว้ตั้งแต่แรกก็คือมันเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวในลักษณะที่ว่า “นายสั่ง”
และที่สำคัญภาพที่ออกมาแทนที่จะได้ใจจากประชาชนทุกกลุ่มเต็มร้อย ตรงกันข้ามกลับมีแต่ถูกตั้งคำถามว่าทำไมเลือกเน้นที่จะปกป้องผู้บังคับบัญชาเท่านั้น ขณะที่สถาบันพระมหากษัตริย์กำลังถูกคุกคามอย่างหนักจาก ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มเสื้อแดง มีพฤติกรรมและคำพูดจาบจ้วง ให้ร้ายพระเจ้าอยู่หัวอย่างต่อเนื่อง แต่ทหารเหล่านี้ยังยิ่งเฉยไม่เคยมีแสดงอาการใดๆออกมาให้สังคมได้อุ่นใจ แต่กลายเป็นว่า พอ พล.อ.อนุพงษ์ ถูก เสธ.แดง ข่มขู่และใช้วาจาหยาบคายด่าทอก็ทนไม่ไหวต้องออกมาตบเท้าปกป้องให้กำลังใจ
ภาพจึงออกมาไม่สง่างามเท่าที่ควรจะเป็น!!
ขณะเดียวกัน ช่วยไม่ได้ที่อาการแบบนี้จึงถูก เสธ.แดง เย้ยกลับไปอย่างเจ็บแสบอีกว่าเป็นลักษณะของพวก “แต๋วแตก” ไม่มีผิด มันก็ยิ่งเสียหายไปกันใหญ่
ดังนั้น หากจะให้สรุปภาพรวมโดยแยกเอาเฉพาะการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่กำลังเดินสายไปยืนด่าผู้นำกองทัพ โดยเน้นใน “กลุ่มอำนาจใหม่” อยู่ในเวลานี้ ก็น่าจะเป็นแผนทำลายและสร้างสถานการณ์ยั่วยุให้ออกมา “ปราบ” เพื่อพัฒนาสถานการณ์ให้รุนแรงและเข้าทาง ซึ่งเชื่อว่าจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ก่อนจะมีการอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทในวันที่ 26 ก.พ.
ส่วนจะได้ผลถึงขั้น “แต๋วแตก” อย่างที่ พล.ต.ขัตติยะ เคยเปรียบเทียบเอาไว้หรือไม่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะสถานการณ์ในเวลานี้เหมือนกับว่าแต่ละฝ่ายกำลัง “สร้าง” ขึ้นมา เพื่อผลประโยชน์เฉพาะตัวทั้งสิ้น!!