ที่ประชุม ครม.ไฟเขียวจัดงบประมาณรายจ่ายปี 54 จำนวน 2.07 ล้านล้านบาท เป็นแบบขาดดุล 4.2 แสนล้านบาท งบรายจ่ายประจำ 1.63 ล้านล้านบาท ส่วนงบลงทุน จำนวน 3.4 แสนล้านบาท ตามข้อเสนอกระทรวงการคลัง คาดจีดีพีโตร้อยละ 3.5-4.5 ด้าน “มาร์ค” ห่วงงบฯ อปท.กว่า 3.4 หมื่นล้านบาท เจียด คนชรา-อสม.หัวละ 500 บาท
วันนี้ (26 ม.ค.) นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2554 ตามที่สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลังเสนอ โดยกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่าย 2.07 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปี 2553 จำนวน 3.7 แสนล้านบาท หรือเพิ่มร้อยละ 21.8 จึงเป็นการจัดทำงบประมาณขาดดุล 4.2 แสนล้านบาท
ขณะที่การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 7% จากปีงบประมาณ 53 ที่มีจำนวน 1.52 ล้านล้านบาท จำนวน 1.07 แสนล้านบาท โดยคาดว่าเป็นรายจ่ายงบลงทุน จำนวน 3.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1.2 แสนล้านบาทจากปี 53 หรือคิดเป็นสัดส่วน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 59.2
เป็นรายจ่ายประจำ 1.63 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปี 53 จำนวน 1.9 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 3.0 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 1.4 ของวงเงินงบประมาณรวม และเป็นรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 6.7 หมื่นล้านบาท
“งบปี 54 เป็นงบประมาณขาดดุล 2.07 ล้านล้านบาท ประมาณการรายได้ 1.65 ล้านล้านบาท ทำให้เป็นงบประมาณขาดดุล 4.2 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.1ของจีดีพี ภายใต้สมมติฐานเงินเฟ้อร้อยละ 2-3 จีดีพีขยายตัวเพิ่มร้อยละ 3-4 รัฐบาลจึงเน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการให้มีงบประมาณด้านการลงทุนเพิ่มขึ้นจากปี 2553 ถึง 1 แสนล้านบาท หรือมีสัดส่วนร้อยละ 16.5 ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2553 อยู่ที่ร้อยละ 12” รมว.คลังกล่าว
นายกรณ์กล่าวอีกว่า จากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจึงคาดว่าการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลดีขึ้นในปีงบประมาณ 53 จะเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ตั้งไว้ที่ 1.35 ล้านล้านบาท เป็น 1.52 ล้านล้านบาท และเมื่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลดีขึ้นคาดว่าจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณไปใช้ในการลงทุนในโครงการต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการลดภาระการใช้เงินนอกงบประมาณ และทำให้เกิดความโปร่งใสในการใช้งบประมาณเพื่อการลงทุนต่างๆของรัฐบาล
สำหรับงบประมาณในโครงการลงทุนไทยเข้มแข็งได้รับการอนุมัติวงเงินจำนวน 3.5 แสนล้านบาท ตาม พ.ร.ก.การให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ 53 จำนวน 2 แสนล้านบาท และที่เหลือ 1.5 แสนล้านบาทคาดว่าจะเบิกจ่ายได้ในปีงบประมาณ 54
ขณะเดียวกัน การลงทุนของรัฐบาลนอกจากการใช้เม็ดเงินงบประมาณแล้ว ยังต้องพึ่งพาเงินลงทุนจากภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนในระบบขนส่งและระบบราง
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.เห็นชอบร่างงบประมาณปี 54 เป็นงบแบบขาดดุล มีการคาดการณ์ว่าจีดีพีจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.5-4.5 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 2.0-3.0 มีแนวทางนโยบาย 5 ข้อ คือ 1.เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเพื่อลดค่าใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ 2.ทบทวนเพื่อชะลอหรือยกเลิกการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐที่มีความสำคัญลดลงหรือหมดความจำเป็น และสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 3.เพิ่มสัดส่วนรายจ่ายลงทุนในระดับที่เหมาะสมในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน 4.สนับสนุนงบประมาณเพื่อการขบัเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในจำนวนที่เหมาะสม และข้อ 5.การส่งเสริมการประจายอำนาจสู่ท้องถิ่น (อปท.)
“ประเด็นนี้นายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงในเรื่องของงบประมาณที่จัดสรรให้ อปท.จำนวน 173,900 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากปี 53 จำนวน 34,000 ล้านบาทหรือ ร้อยละ 24.3 ที่จะจัดสรรให้กับนโยบายเบี้ยยังชีพช่วยเหลือคนชรา รายละ 500 บาทต่อเดือน และนโยบายเบี้ยยังจะช่วยเหลืออาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน รายละ 500 บาทต่อเดือน โดยสั่งการให้นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทยไปดูแลย่างใกล้ชิด เนื่องจากการเบิกจ่ายงบปี 53 ยังมีปัญหาอยู่ในระดับท้องถิ่น”