“บัญญัติ” รับประชาธิปัตย์ทำใจลำบากเปลี่ยนจุดยืนแก้รัฐธรรมนูญ รอผลสัมมนาสัปดาห์นี้ ชี้ “บรรหาร” เดินสายถกพรรคร่วมเป็นสิทธิ์ ชี้ยิง M-79 ใส่ห้อง ผบ.ทบ. ท้าทายกองทัพ จี้นำตัวคนผิดลงโทษ แนะหาทางป้องกันเหตุร้าย ยันรัฐบาลยังแข็งแรงดี
วันนี้ (21 ม.ค.) นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคชาติไทยพัฒนาจับมือพรรคร่วมรัฐบาลอื่นเตรียมเสนอญัตติ แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และระบบการเลือกตั้งจากเขตใหญ่เรียงเบอร์เป็นเขตเดียวเบอร์เดียวว่า สำหรับมาตรา 190 นั้น คิดว่าพรรคคงไม่ขัดข้องที่จะแก้ไข แต่สำหรับเรื่องระบบการเลือกตั้ง พรรคได้แสดงจุดยืนมาตลอดว่าระบบเลือกตั้งที่จะเหมาะสำหรับสังคมไทย คือ เขตใหญ่ 3 คน เพราะทำให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น และคนดีๆ มีโอกาสหลุดเข้ามาได้ ซึ่งพรรคเคยให้ความเห็นต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 50 จน ออกมาเป็นตัวบทกฎหมายแล้ว วันดีคืนดีจะมาขอเปลี่ยนแปลง ก็คิดว่าจะกลายเป็นไม่มีเหตุผลรองรับ จึงคิดว่าเป็นเรื่องลำบากที่พรรคจะเปลี่ยนจุดยืน อย่างไรก็ตามคงต้องรอผลการหารือกันในการสัมมนาสุดสัปดาห์นี้ก่อน
“อยากให้เพื่อนร่วมงานสบายใจ ก็อยากให้ร่วมงาน แต่อยากให้เพื่อสบายใจโดยเราเปลี่ยนจุดยืน แล้วอธิบายประชาชนไม่ได้ ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าหนักใจ แต่จริงๆ ถ้าดูแล้วผมคิดว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่ค่อยหวังผลเท่าไหร่ ผมยังมองในแง่ดีว่าการแถลงข่าวร่วมวันวานนี้ ประเด็นหลักน่าจะอยู่ตรงที่ 2 พรรคการเมืองตั้งใจจะทำการเมืองร่วมกันต่อไปในวันข้างหน้า เพราะเขาพูดชัดขนาดว่า แม้กระทั่งตอนที่จะมีการเลือกตั้งด้วย และประเด็นของรัฐธรรมนูญผมเข้าใจว่า ในฐานะที่หลายคนเป็นนักการเมืองเก่าแก่ น่าจะวิเคราะห์ออกว่าพรรคประชาธิปัตย์คงลำบากใจที่จะไปเทเสียงให้ และพรรคร่วมรัฐบาลก็พูดชัดเจนว่าแยกเรื่องนี้ออกจากเรื่องร่วมรัฐบาล”
ส่วนการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะสอดรับกับช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีผลต่อคะแนนลงมติหรือไม่ นายบัญญัติกล่าวว่า ตนไม่คิดว่าจะมีการต่อรองอะไร และเห็นว่าประชาชนจับตาดูความเคลื่อนไหวของนักการเมืองอยู่ หากกระแสประชาชนออกมาชัดเจนเรื่องไหน เชื่อว่าโอกาสที่จะสวนกระแสประชาชนน้อยลงเรื่อยๆ สำหรับกรณีที่นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ยังเดินสายนัดพรรคร่วมรัฐบาลอื่นยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์นั้น ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถือเป็นสิทธิหรือความพยายามที่จะแสดงจุดยืนของตัวเอง
นอกจากนี้ นายบัญญัติยังกล่าวถึงกรณีที่มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 ถล่มห้องทำงาน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกว่า เป็นเรื่องไม่ดี เพราะต้องยอมรับว่ากองทัพบกถือได้ว่าเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงที่มีความแข็งแรงมากที่สุดในความรู้สึกของประชาชน ดังนั้น ปัญหานี้ถือเป็นเรื่องท้าทายกองทัพบกค่อนข้างมากว่า ท้ายสุดจะสามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ขนาดไหน อย่างไร อีกทั้งยังเป็นการท้าทายหน่วยข่าวกรองของกองทัพบกด้วย จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ ขณะเดียวกัน ตำรวจก็ต้องไม่นิ่งนอนใจในฐานะที่ต้องดูแลความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเป็นเรื่องลำบากในการคอยป้องกันคนที่จ้องกระทำ แต่เมื่อมีเหตุร้าย ตนคิดว่าต้องพยายามเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ เพราะนั่นคือการป้องกันที่มีน้ำหนักที่สุด
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเชื่อมโยงกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง หรือการตัดสินคดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ นายบัญญัติกล่าวว่า ทางการเมืองก็มองได้หลายเรื่อง และได้มีการวิเคราะห์จากสื่อหลายฝ่าย หรือแม้ทีท่าของฝ่ายความมั่นคงก็ดูจะมีการแสดงออกมาตลอดว่าทุกอย่างจะร้อนแรงขึ้น อาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์หลายอย่างมาประจวบเข้าพอดี เพราะสงครามการต่อสู้ทางการเมืองก็ยืดเยื้อมานานพอสมควร และประเด็นหลักๆ ก็ทำท่าว่าจะมาประดังในช่วงนี้ จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานความมั่นคงและรัฐบาลที่จะต้องมีมาตรการป้องกัน
เมื่อถามว่าสถานการณ์ถึงขั้นต้องปิดฉากหรือไม่ จึงได้ปะทุรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นายบัญญัติกล่าวว่า ถ้าจะวิเคราะห์เช่นนี้ก็มีเหตุผล เพราะหลายฝ่ายอาจจะมีความรู้สึกว่ายืดเยื้อยาวนานเหลือเกิน ควรจะจบเสียที บางคนก็พูดขนาดว่าเมื่อไหร่ “ฝีจะแตกเสียที” เพราะอยู่ในภาวะเช่นนี้เรื่อยๆ บ้านเมืองก็เสียหาย และจากการดูที่ผ่านๆ มาเมื่อถึงจุดแตกหักก็มักจะจบ
“ผมยังรู้สึกว่ารัฐบาลในวันนี้ยังแข็งแรง ภายใต้อุปสรรคที่เกิดขึ้นหลายอย่าง รัฐบาลนำพาบ้านเมืองมาได้ขนาดนี้ ถือว่าเข้มแข็ง และเวลาที่ผ่านมา 1 ปี ของการอยู่ในตำแหน่ง คิดว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมองปัญหาได้ชัดเจนขึ้นแล้วว่ามีอะไรตรงไหนที่ควรแก้ และในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลที่ร่วมทำงานกันมาได้แล้ว ผมคิดว่าทุกฝ่ายคงจะมองเห็นว่าควรจะจัดสัมพันธภาพระหว่างกันที่เป็นทางสายกลางที่ดีที่สุดได้อย่างไร ดังนั้น ยังมองว่าวันนี้รัฐบาลแข็งแรง”