xs
xsm
sm
md
lg

วอร์รูม ปชป.ชี้ประเทศยังเสี่ยง 3 ด้าน “เทพไท” แนะจับตา 10 วันอันตรายหลังตรุษจีน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์
คณะทำงานปฏิบัติการทางการเมืองประชาธิปัตย์แถลง พบประเทศมีความเสี่ยง 3 ด้าน คุยโวกฏเหล็ก 9 ข้อทำประชาชนให้โอกาสมากขึ้น รับ “นช.แม้ว” ขยับทำชายแดนเขมรเครียด ชี้ “ปลวกแดง” จ่อสร้างเงื่อนไขให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอ้างปฏิวัติประชาชนเพื่อคนคนเดียว ด้าน “เทพไท” แนะจับตา 10 วัน อันตรายหลังตรุษจีน



วันนี้ (17 ม.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า จากการหารือของคณะทำงานปฏิบัติการทางการเมือง (วอร์รูม) พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อประเมินความเสี่ยงของบ้านเมืองพบว่า ขณะนี้มีความเสี่ยงสำคัญ 3 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง การเมือง ซึ่งการปรับ ครม.ครั้งนี้ พรรคในฐานะแกนนำมั่นใจว่ารัฐมนตรีทั้ง 5 คนจะมีส่วนสำคัญในการร่วมทีมกับนายกฯ ในการเดินหน้าแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ และตระหนังถึงผลสำรวจของหลายสำนักได้แสดงความมั่นใจใจการตัดสินใจปรับครม.ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รวมทั้งการตอบรับของภาคเอกชนต่อทีมเศรษฐกิจ ที่เพิ่มขึ้นมาในคณะรัฐมนตรี มาจากการที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้โอกาสรัฐบาลได้ทำงานต่อไป ที่ผ่านมานั้นรัฐบาลสามารถสร้างความเชื่อมั่นทั้งจากนโยบาย และจากการวางบรรทัดฐานทั้ง 9 ข้อของรัฐบาล ในความรับผิดชอบที่คณะรัฐมนตรีทุกคนพึงมีต่อประชาชน

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อว่า ในเรื่องความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจนั้น ถือว่า 1 ปีที่ผ่านมาถือว่ารัฐบาลสามารถบริหารจนก้าวพ้นความเสี่ยงได้ ส่วนความเสี่ยงด้านความมั่นคง แบ่งออกเป็น 2 เรื่อง คือ ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การลงพื้นที่ของนายกฯ จะสามารถทำให้กฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของสภานั้นจะมีผลต่อการปรับกระบวนการแก้ไขปัญหา ส่วนปัญหาความมั่นคงในเรื่องของชายแดนไทย-กัมพูชานั้น รัฐบาลได้ยึดแนวทางในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า แต่ก็ยอมรับว่ามีผลต่อการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จะเพิ่มสถานะการณ์ความตึงเครียดตรงชายแดน

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงความเสี่ยงทางการเมืองว่า คณะทำงานฯ ได้ประเมินสถานการณ์ว่าขณะนี้มีการเตรียมการดำเนินเพื่อสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยการขยายผล และสร้างความขัดแย้งใน 4 ด้านด้วยกัน กล่าวคือ 1.การกดดัน และคุกคามการทำงานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง องค์กรอิสระการบิดเบือนกระบวนยุติธรรมของศาลว่า เลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐาน โดยเฉพาะกรณียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท กับคดีเงินบริจาคของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคจึงอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยอมรับคำตัดสินขององค์กรอิสระและของศาลในทุกกรณี ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรขอให้ถือคำวินิจฉัยเป็นที่สิ้นสุด

2.กรณีการล่วงละเมิดถวายฎีกาการขอพระราชทานอภัยโทษของกลุ่ม นปช.โดยไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลในคดีที่ดินรัชดาฯ และพุ่งเป้าไปที่กระทรวงยุติธรรมและสำนักราชเลขาฯ ในเดือนหน้า 3.การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา และการชุมนุมนอกสภาของกลุ่ม นปช.โดยจะขยายผลพาดพิงถึงสถาบันองคมนตรีที่พรรคเพื่อไทยร่วมขับเคลื่อนกับ กลุ่ม นปช. พรรคห่วงว่าจะมีการปลุกระดมนอกสภาให้เกิดความเกลียดชัง และสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง สถาบันองคมนตรี ทหาร และรัฐบาล ด้วยข้อมูลบิดเบือน และ 4.การเคลื่อนไหวนอกประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้เตรียมการจะใช้ประเทศเพื่อนบ้านเป็นฐานบัญชาการ เช่นเดียวกับเดือนเม.ย.2552 เพื่อแทรกแซงการเมืองภายในประเทศ และยกระดับการก่อการโดยอาศัยเครือข่ายที่เป็นอดีตคนที่เคยทำงานอยู่ในฝ่ายความมั่นคงที่เคยสร้างสถานการณ์เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาก่อน เช่น การเผาโรงพักนางเลิ้งในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เป็นต้น

“สิ่งต่างๆ เหล่านี้พรรคมองว่ารัฐบาลจำเป็นที่จะต้องรับมือ และทางพรรคในฐานะแกนนำก็พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงหากเป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ แต่อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในลักษณะที่สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ขัดต่อกฎหมาย ปราศจากความชอบธรรมและดำเนินการเพื่อบุคคลเพียงคนเดียวนั้น พรรคเห็นว่าเป็นการสร้างชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ขึ้นในบ้านเมือง โดยเฉพาะมีการขับเคลื่อนโดยอาศัยการอ้างของเรื่องปฏิวัติประชาชน ทั้งที่การเคลื่อนไหวเป็นไปเพื่อบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นสิ่งที่บ้านเมืองต้องเผชิญใน 1 ปีที่จะถึงนี้” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

ด้าน นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่นัดชุมนุมใหญ่หลังวันที่ 14 ก.พ.นี้ โดยระบุจะล้มล้างรัฐบาลและกลุ่มอำมาตย์ว่า เชื่อว่าหลังวันที่ 16 ก.พ. จะมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 26 ก.พ.ซึ่งอยู่ในช่วงที่ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะตัดสินในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของพ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วง 10 วัน ถือเป็น 10 วันอันตรายที่ต้องจับตามอง จึงอยากให้กลุ่มคนเสื้อแดงฟังเสียงของประชาชนและสังคมว่าอย่างไร เพราะผลโพลระบุว่าอยากให้รัฐบาลนี้อยู่บริหารต่อไป ไม่อยากให้คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวสวนกระแสความรู้สึกของประชาชน และสัปดาห์ที่ผ่านมาตนลงพื้นที่ในภาคอีสานตอนบน พบปะคนเสื้อแดงหลายพื้นที่ต่างก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้แกนนำเคลื่อนไหวในลักษณะแตกหัก เพราะมีแกนนำพวกฮาร์ดคอร์และระดับบนที่กำหนดเอามวลชนระดับล่างเข้ามาร่วม จึงเชื่อว่าหากยังเคลื่อนไหวสวนกระแสสังคมก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ
กำลังโหลดความคิดเห็น