สื่อทำเนียบแรง!!! ตั้งฉายารัฐบาล “ใครเข้มแข็ง?” ให้ “มาร์ค” หล่อหลักลอย ห่วงใย “สุเทพ” แม่นมอมทุกข์ ฉะ “สาทิตย์” ช่างจัดฉาก “กอร์ปศักดิ์” โดนเละ กั๊ก-กอบ-โกย ซัด “กษิต” ไส้ติ่งรัฐบาล เห็นใจ “พรทิวา” เจ้าแม่แพ้หน้าเน็ต ชู “ชวรัตน์” สตันท์เฒ่าเฝ้าเก้าอี้ “โสภณ” ได้ ภูมิใจนาย ฟัด “กรณ์” ยับ ทวิต-กู้ “ประวิตร” คว้า “ป้อมพลัง ป” นายกฯคว้าวาทะแห่งปี “ใครก็ตามที่ประกาศชัยชนะ ผมถือว่าคนคนนั้นและกลุ่มคนนั้นคือศัตรูของประเทศอย่างแท้จริง” ขู่เสื้อแดงสงกรานต์เลือด
วันนี้ (28 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ได้ตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบเนื่องกันมา เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล จากประสบการณ์การทำงานที่ปรากฏต่อสื่อสาธารณะ โดยมิได้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่มาจากมติส่วนรวมของสื่อมวลชน ทว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์ทางการเมืองไม่ปกติ โดยเกิดการรัฐประหาร อีกทั้งรัฐบาลที่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินหลังจากนั้นก็ทำงานไม่ครบ 1 ปี จึงไม่เข้าเงื่อนไขในการตั้งฉายารัฐบาล อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์การเมืองเริ่มกลับเข้าสู่ระบบ และรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เข้าบริหารราชการแผ่นดินได้ครบ 1 ปี ผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาลจึงได้ประชุม และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี 2552 ดังนี้
ฉายารัฐบาล : ใครเข้มแข็ง?
รัฐบาลประกาศแผนพลิกฟื้นประเทศไทยให้พ้นจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง ผ่านแผนปฏิบัติการ “ไทยเข้มแข็ง” เพื่อลงทุนยกเครื่องประเทศครั้งใหญ่ ภายใต้ พ.ร.บ. และพ.ร.ก.เงินกู้รวม 8 แสนล้านบาท เมื่อโครงการนี้ไปสู่การปฏิบัติมีเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งเรื่องผลประโยชน์ของพรรคร่วมรัฐบาล ความไม่โปร่งใส จนเกิดคำถามว่าการสร้างหนี้เพื่อฟื้นประเทศไทยทำให้ใครเข้มแข็งระหว่าง ประชาชน หรือนักการเมือง
ฉายานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี : หล่อหลักลอย
เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีภาพลักษณ์ดี หน้าตาดี การศึกษาดี จึงมีแม่ยกเป็นจำนวนมาก มักประกาศจุดยืนและหลักการด้านประชาธิปไตย โดยเฉพาะเมื่อรับตำแหน่งได้ประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อให้ ครม.มีความรับผิดชอบทางการเมืองมากกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย แต่เมื่อรัฐมนตรีบางคนมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย หรือมีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส กลับไม่ได้แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง นั่นเท่ากับไม่สามารถกำกับให้กฎเหล็กมีผลใช้บังคับได้ หลักที่เคยประกาศไว้จึงเหมือนคำพูดที่เลื่อนลอย ไม่เป็นไปตามหลักการที่วางไว้
ฉายานายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี : แม่นม อมทุกข์
แม้ไม่ใช่เป็นผู้ให้กำเนิดทางการเมืองแก่นายอภิสิทธิ์โดยตรง แต่ก็คอยดูแลอุ้มชู และสนับสนุนในทางการเมืองทุกอย่าง ถึงขั้นประกาศว่าความใฝ่ฝันทางการเมืองสูงสุดคือการผลักดันให้นายอภิสิทธิ์ ได้เป็นนายกฯ แต่เมื่อสานฝันได้สำเร็จ นายอภิสิทธิ์กลับสร้างปัญหาหนักอกให้นายสุเทพตามล้างตามเช็ด อาทิ การแก้รัฐธรรมนูญ การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทำให้ผู้จัดการรัฐบาลถูกพรรคประชาธิปัตย์วิจารณ์อย่างหนักว่าตีตัวออกห่าง มัวแต่เอาใจพรรคร่วมรัฐบาล จนเจ้าต้องอยู่ในอาการอมทุกข์
ฉายานายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี : ช่างจัดฉาก
เป็นคนสนิทของนายกฯ กำกับดูแลสื่อของรัฐ มักเปรียบเปรยว่าตัวเองเป็น “อิมเมจ เมกเกอร์” พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างภาพลักษณ์ด้านบวกให้รัฐบาล เป็นจอมจัดการ เช่น การจัดคิวให้นายกฯ และครม.ลงพื้นที่ จัดฉากให้ ครม.ออกทีวีวิทยุ จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาล ทว่าเสียงสะท้อนกลับติดลบเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะโครงการ “ไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็ง” ที่ให้ทุกจังหวัดเกณฑ์คนมาร้องเพลงชาติ แต่ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องงบประมาณ เสมือนช่างที่พยายามจัดฉากให้ดูดี แต่ไม่มีเนื้องานเป็นรูปธรรม
ฉายานายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี : กั๊ก-กอบ-โกย
ขึ้นชื่อว่าเป็นรองนายกฯ จอมตรวจสอบ กั๊ก และคอยดักจับโครงการของพรรคร่วมรัฐบาล จนเกิดเหตุกระทบกระทั่งกันอยู่เนืองๆ และถูกแกนนำพรรคร่วมตั้งสมญาว่า “พ่อชุนละเอียด” แต่ไปๆ มาๆ กลับสะดุดขาตัวเอง เมื่อพบปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนจากการแต่งตั้งน้องชายเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (สพช.) ที่ มีตัวเองเป็นประธาน สุดท้ายทั้งพี่และน้องก็ฝ่าแรงกดดันจากสังคมไม่ไหว จำต้องโกยออกจากตำแหน่ง แม้กระทั่งตำแหน่งตัวเองก็ต้องโกยออกไปเป็นเลขาธิการนายกฯ
ฉายานายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ : ไส้ติ่งรัฐบาล
เป็นอดีตนักการทูตที่ได้เข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาล จากการเป็นดาวไฮด์ปาร์กบนเวทีกลุ่มพันธมิตรฯ แต่กลับไม่ยอมใช้วาทศิลป์ทางการทูตเชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ตรงกันข้ามถูกวิจารณ์ว่าปากเป็นพิษ โดยเฉพาะการเปรียบเปรยนายกฯ กัมพูชาว่าเป็น “แก๊งสเตอร์” จึงเปรียบเสมือนเป็น “ไส้ติ่ง” ที่แม้จะอยู่ในร่างกายได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดีไม่ดีพอเกิดการอักเสบขึ้นมาจะเป็นโทษต่อร่างกายถึงขั้นเสียชีวิตด้วย
ฉายานางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ : เจ้าแม่แพ้หน้าเน็ต
เป็นรัฐมนตรีหญิงที่มีบทบาทสำคัญใน ครม. เพราะพยายามผลักดันโครงการของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เข้าสู่ ครม. ตลอดเวลา อาทิ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง การปรับเปลี่ยนระบบการจัดงบเพื่อบริหารสินค้าเกษตร ฯลฯ แต่ถูกแกนนำรัฐบาลรุมเตะสกัด ทำให้บางโครงการไม่ผ่านการอนุมัติ บางครั้งถึงกับร่ำไห้กลางวงประชุม ครม. เปรียบเสมือนนักตบลูกหนังที่แค่ตั้งท่ายังไม่ทันตบ ก็ติดบล็อกจากฝ่ายตรงข้ามเสียแล้ว
ฉายานายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย : สตันท์เฒ่าเฝ้าเก้าอี้
สิงห์เฒ่าวัย 73 ปีผู้นี้ได้เข้ามารั้งเก้าอี้ มท.1 พร้อมตำแหน่งหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แทนบุตรชายที่อยู่ในบ้านเลขที่ 111 การเป็นรัฐมนตรีถูกมองว่าเป็นการแสดงบทตามที่ลูก และเพื่อนลูกอย่างนายเนวิน ชิดชอบ คอยกำกับเท่านั้น เหมือนเป็นตัวแทนมานั่งเฝ้าเก้าอี้รอตัวจริง แต่แม้จะเป็น “สตันท์เฒ่า” ก็มากด้วยเล่ห์เหลี่ยม และมีชั้นเชิงทางการเมืองสูง ทำให้สามารถเฝ้าเก้าอี้ มท.1 เฝ้าเก้าอี้หัวหน้าพรรคอยู่ในรัฐบาลได้อย่างเหนียวแน่น
ฉายานายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม : ภูมิใจ “นาย”
ไม่เคยทำงานบริหาร และผ่านงานคมนาคมมาก่อน แต่เป็นลูกน้องคนสนิทของนายเนวิน ชิดชอบ จึงได้รับความไว้วางใจให้คุมกระทรวงเกรดเออย่างกระทรวงคมนาคม จากนักการเมืองโนเนมจึงมีชื่อติดกระแสขึ้นมา การเสนอโครงการเป็นไปตามใบสั่ง “นาย” แทบทุกโครงการ โดยเฉพาะโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน หลังต่อสู้กับพรรคร่วมหลายรอบ เป็นโต้โผใหญ่ในการเปิดบ้านพักที่ จ.บุรีรัมย์ ต้อนรับนายกฯ แทนลูกพี่ โดยไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดงมาปั่นป่วนจึงถือเป็นลูกน้องที่สร้างความภาคภูมิใจให้ผู้เป็น “นาย” อย่าง “เนวิน”
ฉายานายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง : “ทวิต-กู้”
เป็นขุนคลังที่ประชาชนจดจำผลงานในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ นอกจากภาพการกู้เงินที่เป็นไม้ตายการแก้ปัญหา แต่ภาพของนายกรณ์ในโลกไซเบอร์คือนักโพสต์มือ 1 ผ่านเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และไฮไฟว์ มักเข้าไปอัปเดตภาพ-ข่าวของตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งขณะนั่งประชุม ครม.ก็ยังทวิตข้อความและรูปภาพให้สมาชิกได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น ในช่วงที่ถูกโจมตีเรื่องการทำงาน บางครั้งศรีภริยาก็ออกมาทวิตแก้ต่างให้ สมเป็นขุนคลังออนไลน์ที่มีผลงานกู้เร็วทันใจราวกับไฮ-สปีด อินเทอร์เน็ต
ฉายา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม : ป้อมพลัง “ป”
ชื่อเล่นเขาคือ “ป้อม” ได้เป็นรัฐมนตรีที่ไม่มีความชัดเจนว่าเป็นโควตาของกลุ่มการเมืองใด ไม่ใช่สายตรงประชาธิปัตย์ ไม่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับภูมิใจไทย ไม่ใช่ตัวแทนของกองทัพอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ได้รับความเกรงกลัว-เกรงใจจากคนในรัฐบาลอย่างมาก ถึงขั้นปล่อยผ่านเมกะโปรเจกต์ของกองทัพอย่างง่ายดาย เนื่องจากมีพลังอิทธิพล และบารมีของคนชื่อ “ป. ปลา” แห่งกองทัพเป็นป้อมปราการค้ำบัลลังก์และป้องกันภัยทางการเมือง
วาทะแห่งปี 2552 : “ใครก็ตามที่ประกาศชัยชนะ ผมถือว่าคนคนนั้นและกลุ่มคนนั้นคือศัตรูของประเทศอย่างแท้จริง”
เป็นถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 เมษายน ที่โรงแรมรอยัล คลิฟบีช พัทยา จ. ชลบุรี ที่กล่าวไว้หลังจากกลุ่มคนเสื้อแดงนำมวลชนบุกล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนและคู่ เจรจาที่เมืองพัทยา และประกาศว่าเป็นชัยชนะของชาวเสื้อแดง
อนึ่ง ที่ประชุมสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ได้ออกแถลงประณามกองบรรณาธิการข่าวการเมืองสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กรณีนำเบื้องเผยแพร่ข้อมูลฉายารัฐบาลประจำปี 2552 พร้อมเบื้องหลัง ก่อนวันเวลาที่กำหนด