โฆษก ปชป.ยกอุทาหรณ์สงกรานต์เลือด ดักคอ “ม็อบหางแดง” อย่าทำลายชาติ แนะทุกพรรคยึดพระราชดำรัส เล่นการเมืองแบบสร้างสรรค์ แย้มเลือกรัฐมนตรีตาม ครม.เงา ย้ำโควตาภาคเป็นรอง เชื่อประเด็นแก้ รธน.ไม่ทำขั้วรัฐบาลแตก
วันนี้ (3 ม.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า พรรควิเคราะห์ว่า ปี 2553 จะเป็นปีที่สำคัญซึ่งจะพิสูจน์ว่าสังคมไทยจะสามารถฟันฝ่าวิกฤตต่างๆได้อย่างแท้จริงหรือไม่ หลังจากที่ปีที่ผ่านมาสามารถกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง โดยพรรคเห็นว่าแนวทางที่ดีที่สุด คือ การยึดกระแสพระราชดำรัสในวันที่ 5 ธ.ค.2552 ที่ประสงค์จะเห็นบ้านเมืองเป็นปกติสุข และกระแสพระราชดำรัสในวันปีใหม่ ที่เตือนสติให้ยึดประโยชน์ส่วนรวม พรรคจึงอยากเชิญชวนให้กลุ่มการเมืองและพรรคการเมือง น้อมนำกระแสพระราชดำรัสมาปฏิบัติ 3 เรื่อง
1.ทำการเมืองให้พอเพียง ให้ทุกฝ่ายยึดหลักเหตุผลไม่ใช้วิธีเป็นเท็จ ใช้อำนาจอย่างพอประมาณ ยอมรับการตรวจสอบ ให้ความเคารพความเห็นที่หลากหลาย ที่สำคัญต้องไม่พาบ้านเมืองไปสู่ความเสี่ยง ทั้งการสร้างความวุ่นวายให้เกิดการเผชิญหน้า ซึ่งสามารถเริ่มต้นได้โดยการหันหน้าเข้าหากัน ที่สำคัญจะต้องหลุดพ้นจากการยึดผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก
2.ร่วมกันสร้างการเมืองให้มีบรรทัดฐานและมีมาตรฐาน โดยรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ไม่มุ่งการเมืองเน้นทำลายโดยการปลุกระดมสร้างความแตกแยก แต่เล่นการเมืองแบบสร้างสรรค์บนพื้นฐานการแข่งขันด้านนโยบายและตัวบุคคล และ 3.ร่วมกันรักษาหลักความเป็นธรรมในบ้านเมือง ให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อพิสูจน์ว่าทุกฝ่ายอยู่บนกติกากฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติโดยเฉพาะการพิจารณาคดีความต่างๆ จะอยู่บนหลักฐานข้อเท็จจริงต่างๆ ใครผิดต้องรับโทษ ใครไม่ผิดก็จะต้องไปรับการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ซึ่งรวมถึงคดีความต่างๆที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองของทุกพรรค ทั้งนี้ พรรคประเมินว่าปัจจัยต่างๆ ทำให้ปีที่ผ่านมาทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ แต่วิกฤตการเมืองยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในขณะนี้
“โดยเฉพาะกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งประกาศจะชุมนุมในเดือน ม.ค.นี้ ที่มีการใช้คำพูดว่าจะทวงคืนจากเหตุการณ์เม.ย.2552 และยึดแนวการชุมนุมหน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2552 ซึ่งพรรคมองว่าหากเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับ เม.ย.2552 อีกครั้ง บ้านเมืองก็จะไม่สามารถกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีก หากฝันร้ายปีที่ผ่านมาย้อนกลับมาอีกครั้ง และไม่มีทางที่ประเทศชาติจะสามารถกอบกู้ความเชื่อมั่นต่างชาติได้อีกเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นกลุ่มการเมืองใดที่หวังประกาศชัยชนะบนความพินาศของประเทศ จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นศัตรูของชาติอย่างแท้จริง” นพ.บุรณัชย์ กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปรับ ครม.ว่า พรรคใช้หลักพิจารณา คือ 1.ความรู้ความสามารถ ส่วนการเป็นตัวแทนพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นเรื่องรอง คนที่จะได้รับพิจารณาเป็นรัฐมนตรีทั้งก่อนและหลักการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ล้วนแต่เคยเป็นบุคคลที่อยู่ในครม.เงามาก่อนแล้วทุกคน จึงสามารถพิสูจน์ความรู้ความสามารถในการบริหารบ้านเมืองได้ระดับหนึ่ง 2.ความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง โดยจะยึดมาตรฐานของนายวิทยา แก้วภราดัย อดีต รมว.สาธารณสุข ที่ลาออกหลังพบความไม่โปร่งใสการใช้งบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข ที่เป็นการแสดงความรับผิดชอบโดยพิจารณาจากความคาดหวังของประชาชน ซึ่งเป็นคุณสมบัติของคนที่เป็นรัฐมนตรีทุกคนจะต้องมี ดังนั้นพรรคจึงมั่นใจว่าการคัดเลือกคนที่จะมาเป็นรมว.สาธารณสุขแทนนายวิทยา จะมีความชัดเจนก่อนเปิดสมัยประชุมสภาที่กำลังจะถึง
นพ.บุรณัชย์ กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า พรรคหวังว่าทุกฝ่ายจะหันกลับมาให้ความร่วมมือตามแนวทางของคณะกรรมการสมานฉันท์ แต่อุปสรรคสำคัญคือการที่ฝ่ายค้านไม่ให้ความร่วมมือในการทำประชามติ ส่วนกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลอยากแก้มาตรา 190 และเขตเลือกตั้งก่อน หากประเด็นดังกล่าวไม่สร้างความแตกแยก ก็อาจจะให้รัฐสภาที่ประกอบด้วย ส.ส. และส.ว. ร่วมพิจารณาว่าจะเดินหน้าเรื่องนี้หรือไม่ โดยพรรคไม่คัดค้าน แต่จะต้องนำเข้าหารือในที่ประชุมพรรคก่อน เนื่องจากขณะนี้ยังมีความเห็นที่แตกกันอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่า แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลประกาศว่าจะหันไปสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคเพื่อไทย นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ไม่เคยได้ยินว่าพรรคร่วมรัฐบาลบอกว่าจะหันไปใช้รัฐธรรมนูญ 2540 เพราะจะไปเข้าทางเจตนาของพรรคเพื่อไทยที่ทำทุกอย่างให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หลุดพ้นคดี เมื่อถามว่าหากพรรคประชาธิปัตย์คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้เกิดปัญหาภายในรัฐบาลหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่บ้านเมืองของขณะนี้ เพราะปัญหาใหญ่คือการความพยายามในการสร้างเงื่อนไขเผชิญหน้าให้เกิดความแตกแยก ส่วนการทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาล เชื่อว่ายังยึดมั่นแนวทางการแก้ปัญหาให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ทั้งการรักษาสถาบัน แก้ปัญหาชาติ สร้างความสมานฉันท์ และรักษาระบบประชาธิปไตยที่ยังต้องเดินหน้าต่อไป
ส่วนกรณีที่ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขู่ว่าหากไม่แก้จะเปลี่ยนขั้ว นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ตนไม่ได้ยินนายชวรัตน์พูดอย่างนั้น ดังนั้น ต้องไปดูรายละเอียดของคำพูดทั้งหมดของนายชวรัตน์คืออะไร มาจากคำถามอะไรของผู้สื่อข่าว แต่ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์พร้อมทำงานกับพรรคร่วมต่อไป โดยยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมั่นใจว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะไม่ใช่ประเด็นที่สร้างความแตกแยกในรัฐบาล และสร้างปัญหาให้กับบ้านเมือง เมื่อถามว่าหากความเห็นไม่ตรงกันจะนัดทำความเข้าใจกับพรรคร่วมหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้น จึงยังตอบไม่ได้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ได้ประชุมพรรคเลย