นายกฯสมาคมต้านโลกร้อน ให้คะแนนรบ. สอบตก แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ผ่าน ชี้ มาบตาพุดสางไม่มีวันจบ หากรัฐยังดีแต่ใช้เงินฟาดหัวชาวบ้าน แต่ลับหลังกลับมีการปั่นตัวเลขความเสียหายผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม ทั้งที่ศาลปกครองสั่งคุ้มครองแล้ว ขณะที่ กก.4ฝ่ายแก้มาบตาพุด รับภารกิจเดียวที่รบ.แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมสำเร็จ คือ จ่ายเงินชดเชย "ยายไฮ" นอกนั้น แก้ปัญหาที่ดิน ยังคลำทางไม่เจอ
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "คนในข่าว"
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-22.00 น. วันที่ 23 ธ.ค. โดยมี น.ส.รัตน์ติกรณ์ จารุเกษตรวิทย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งได้เชิญ นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อน และนายหาญณรงค์ เยาวเลิศ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะคณะกรรมการ 4 ฝ่ายแก้ปัญหามาบตาพุด มาร่วมพูดคุยในรายการ
น.ส.รัตน์ติกรณ์ กล่าวเปิดประเด็นกรณี ให้คะแนนรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในด้านการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม โดย นายศรีสุวรรณ กล่าวประเด็นนี้ว่า ถ้าหากตนเป็นอาจารย์ของ นายอภิสิทธิ์ ตนขอให้คะแนนนายกรัฐมนตรีติดลบ เพื่อให้กลับไปทำการบ้านและค่อยมาแก้ไขปัญหาใหม่ โดยเฉพาะ เรื่องการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมหรือมลพิษ รัฐบาลชุดนี้ผลงานติดลบมาตลอด จึงทำให้ประชาชนไม่เห็นผลงานด้านดังกล่าว เนื่องจากที่ผ่านมา พอชาวบ้านเกิดปัญหาได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแล้วจะไปดำเนินการทางกฏหมาย ก็กลับไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานราชการ ซ้ำเมื่อเกิดปัญหาแต่ยังไร้คนเหลียวแล ต้องก้มหน้ารับกรรมกับสิ่งที่เผชิญหน้าอยู่ ซึ่งตนอยากยกตัวอย่าง ชาวบ้านมาบตาพุด ที่รัฐบาลไม่ได้แสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา และดีแต่เดินหน้าผลักดันธุรกิจอุตสาหกรรม จนลืมนึกถึงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น ตนจึงขอให้คะแนนรัฐบาลชุดนี้ว่าสอบตก
"กรณีตัวอย่างการอนุญาตให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นสระบุรี หรือฉะเชิงเทรา ซึ่งมีชาวบ้านออกไปประท้วงและปิดถนน แต่รัฐบาลกลับมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการผ่านหรือเห็นชอบอีไอเอ ดังนั้น ผมเห็นว่ามันใช้ไม่ได้ ทำไมถึงไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 67 วรรค 2 ให้สิทธิ์ประชาชนแสดงออกอย่างเต็มที่ ฉะนั้น สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการมาตลอด รวมถึงสิ่งที่ทำอยู่ ถือเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง แต่รัฐบาลยังคงไม่รู้ตัว ทำตัวเป็นพระเอกอยู่" นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายหาญณรงค์ กล่าวว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา การแก้ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมที่รัฐบาลได้ทำสำเร็จลุล่วงไป คือ ภารกิจมอบเงินช่วยเหลือชดเชยให้แก่ ยายไฮ ขันจันทา หญิงชราที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนห้วยละห้า ส่วนปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมด้านอื่นๆ ตนยังไม่เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ทำอะไรได้ โดยเฉพาะ การแก้ปัญหาให้แก่สมัชชาคนจน หรือเครือข่ายปฏิรูปที่ดิน ทางรัฐบาลก็ยังคงหาทางแก้ปัญหาที่เด็ดขาดไม่ได้
"เวลามาดูเรื่องบางเรื่องที่ควรแก้ไข ก็ไม่รับนโยบาย นายกฯ เคยเรียกมาคุยเรื่องนี้ ก็ไม่เห็นจะทำอะไรได้ โดยเฉพาะเครือข่ายปฏิรูปที่ดิน ซึ่งต้องการให้รัฐบาลช่วยพิสูจน์ความเป็นเจ้าของที่ดิน แต่ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ได้ ผมจึงไม่เคยเห็นความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาดังกล่าว" นายหาญณรงค์ กล่าว
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ตนอยากจะวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับปัญหาส่วนใหญ่ของคนจน ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงคมนาคม รวมทั้ง กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกระทรวงเหล่านี้ ตนถือว่ามีบทบาทใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่ากระทรวงอื่นๆ โดยนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ จะเห็นว่าตอนที่แถลงในสภา เน้นเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่ในความจริงแล้ว ในด้านสิ่งแวดล้อมและพัฒนาอุตสาหกรรม รัฐบาลมักมอบหมายให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการกันเอง จนทำให้เกิดปัญหาตามมา เพราะไม่มีการยกร่างกฏระเบียบบังคับต่างๆ ให้ชัดเจน เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่ชอบปิดประตูห้องคุยกันไม่กี่ฝ่าย โดยที่ภาคประชาชน ไม่มีส่วนเข้าไปร่วมตัดสินใจ
"คนเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีอำนาจในการบริหารจัดการ ดังนั้น ทุกกระทรวงต้องมีนายกรัฐมนตรีผู้เดียวที่มีอำนาจ ไม่ว่ากระทรวงนั้นจะเป็นของพรรคไหน แต่ในเมื่อต้องร่วมเขียนนโยบายกับรัฐบาลแล้ว จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะถ้าหากนายกรัฐมนตรี ไม่สามารถควบคุมทุกกระทรวงได้ ก็ถือว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ พยายามอะลุ่มอะลวยกับพรรคร่วมรัฐบาลมาตลอด ทั้งที่จุดยืนของรัฐบาล มุ่งแก้ปัญหาให้ประชาชน แต่ทำไมรัฐบาลชุดนี้ ถึงไม่สามารถจะตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ เหมือนที่เคยแถลงนโยบายในสภา" นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า สำหรับการแก้ไขปัญหามาบตาพุด ตนอยากให้คณะกรรม 4 ฝ่ายฯ ไปหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ โดยขอเรียกร้องให้ดำเนินการทำรายละเอียดการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และผลกระทบด้านสุขภาพ (เอชไอเอ) เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม แต่ตอนนี้รัฐบาลกำลังพยายามหาช่องทางทำให้ภาคอุตสาหกรรมปลดล็อกเรื่องดังกล่าวให้ได้ ทั้งที่มีคำสั่งของศาลปกครองคุ้มครองไปแล้ว แต่รัฐบาลกลับยังหาต้นตอของปัญหาเรื่องมาบตาพุดไม่ได้เลย ดีแต่ใช้เงิน 10,000-20,000 บาทเอาไปฟาดหัวชาวบ้าน และลับหลังก็มีการปั่นตัวเลขความเสียหายของผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว ซึ่งการปั่นตัวเลขครั้งนี้ ถือว่าเป็นการละเมิดคำสั่งศาล
"ผมอยากให้ปรับครม. และมอบหมายหน้าที่แต่ละกระทรวงให้ตรงกับความสามารถของรัฐมนตรีแต่ละคน โดยไม่อยากให้ไปยึดติดกับโค้วตาของพรรคการเมือง เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาแบบเดิมไม่มีวันจบ" นายศรีสุวรรณ กล่าว