“เด็จพี่” พล่ามไปเรื่อย สุดมั่ว อ้างขึ้นค่าด่วนโทลล์เวย์ของขวัญปีใหม่รัฐบาล โยงเอกชนขึ้นค่าสัมปทานเพราะได้ประโยชน์จาก คมช. ทำขึงขังเตรียมตั้งทีมกฎหมายสอบ แสนรู้จริงๆ ซัดมติ กกต.ให้นายทะเบียนพรรคฯ ฟันธงคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทใช้กฎหมายขัดหลักเกณฑ์ สับ “สดศรี” กลับลำไร้มาตรฐานหรือไม่ จ่อยื่นเอกสาร กกต.พรุ่งนี้ ขู่ฟ่อถ้าตัดสินไม่ถูกใจ รายชื่อ ส.ส.หางแดงขับแน่
วันนี้ (22 ธ.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า วันนี้เป็นวันแรกของการขึ้นค่าทางด่วนยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ จาก 55 บาทเป็น 85 บาท เป็นการผลักภาระให้ประชาชน ถือเป็นของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มอบให้ประชาชนทั้งๆ ที่เศรษฐกิจยังแย่ การที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ปล่อยให้มีการขึ้นค่าผ่านทางดอนเมืองโทลล์เวย์ในอัตราดังกล่าวโดยอ้างเหตุผลเพียงว่าเป็นไปตามสัญญานั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่อาจรับฟังได้ และข้อแนะนำของนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคมนาคม ที่ให้ประชาชนผู้ใช้รถวิ่งบนถนนด้านล่างแทนนั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล นอกจากนี้ สัญญาสัมปทานดอนเมืองโทลล์เวย์เป็นสัญญาทางปกครองและเป็นการบริการสาธารณะ วัตถุประสงค์ของสัญญาก็เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนในการสัญจร โดยวัตถุประสงค์ของสัญญาแล้วจะต้องไม่มีการผลักภาระให้กับประชาชนหรือผลักภาระให้แก่ประชาชนเกินกว่าความจำเป็น แต่ข้อเท็จจริงที่มีการปรับเพิ่มอัตราค่าผ่านทางรวดเดียวเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์นั้น เป็นการกระทำเกินความจำเป็นที่ประชาชนผู้ใช้รถจะแบกรับภาระได้ เนื่องจากสัญญานี้มีการต่ออายุสัญญาเมื่อปีพ.ศ.2550 ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งขยายอายุสัญญาไปจนถึงปี 2557 แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและได้รับมอบอำนาจสืบทอดมาจาก คมช.ซึ่งเป็นเผด็จการทหารนั้น ไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่พิจารณาเงื่อนไขของสัญญาให้รอบคอบ เป็นเหตุให้คู่สัญญาฝ่ายเอกชนสามารถขึ้นค่าผ่านทางได้ถึงจำนวนที่สูงเช่นนี้
นายพร้อมพงศ์กล่าวด้วยว่า คณะทำงานด้านกฎหมายจะตรวจสอบว่า การกระทำของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นั้น เป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนหรือไม่ หากพบความผิดก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ การขึ้นราคาค่าผ่านทางแบบมหาโหดนั้น เหมือนเป็นการปล้นประชาชนกลางวันแสกๆ ในช่วงปีใหม่ เป็นของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์มอบให้ประชาชนในยุคเศรษฐกิจกำลังแย่ ประชาชนกำลังยากจนและต้องทนกับการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มแต่รายได้ กลับลดลง นี่คือการบริหารของรัฐบาลอภิสิทธิ์ชนที่บอกว่าประชาชนต้องมาก่อน สุดท้ายประชาชนต้องแบกภาระก่อน
โฆษกพรรคเพื่อไทยยังกล่าวถึงคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติให้ส่งคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ ให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.เป็นผู้วินิจฉัย ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองว่า พรรคเห็นว่ามติดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายและยังแสดงให้เห็นว่า กกต.ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักกฎหมายอาวุโสแต่กลับบังคับใช้กฎหมายโดยขาดหลักการและมาตรฐานที่ถูกต้อง เพราะเรื่องดังกล่าวได้เข้ามาอยู่ในอำนาจการพิจารณาวินิจฉัยของ กกต.แล้ว มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวน ดังนั้น เมื่อคณะอนุกรรมการสรุปสำนวนอย่างไรก็ต้องเสนอความเห็นพร้อมสำนวนการสอบสวนให้ กกต.พิจารณามีมติวินิจฉัยเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของนางสดศรี สัตยธรรม ที่กล่าวผ่านสื่อมวลชนทั่วประเทศเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ว่า ถ้านายทะเบียนพรรคการเมืองจะยกคำร้องต้องส่งเรื่องให้ที่ประชุม กกต.พิจารณาก่อน แต่ผลปรากฏว่านางสดศรีได้กลับลำเปลี่ยนแนวคิดแบบ 360 องศา โดยให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ว่า ถ้านายทะเบียนจะยกคำร้องก็ไม่ต้องส่งสำนวนให้ กกต.พิจารณา ซึ่งเป็นสิ่งตรงข้ามกับความคิดเดิมที่เคยพูดไว้ แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานของนางสดศรีและ กกต.ว่าใช้กฏหมายเป็นอย่างไร ไร้มาตรฐานหรือไม่
นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า ในวันที่ 23 ธ.ค.เวลา 10.00 น. ตนจะไปยื่นหนังสื่อต่อกกต.พร้อมเอกสาร ซีดี และคำสัมภาษณ์ 2 แผ่น เพื่อให้ กกต.พิจารณาและวินิจฉัยการใช้กฏหมายอย่างตรงไปตรงมาและมีมาตรฐาน เพื่อสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายให้เกิดขึ้นกับสังคมไทย และจะเป็นจุดเริ่มต้นของความยุติธรรมในสังคม เกิดความสมานฉันท์ ลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น นำสังคมกลับสู่ความสงบ ลดการเผชิญหน้าที่จะมีขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยจะรอดูผลพิจารณาของ กกต.ว่าจะขัดต่อกฎหมาย สำนวนของดีเอสไอ และค้านต่อสายตาประชาชนหรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็อาจจะดำเนินการล่าชื่อ ส.ส.เพื่อใช้สิทธิตามมาตรา 171 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วุฒิสภาลงมติถอดถอนต่อไป