นายกฯ ยันไทยจับเครื่องบินขนอาวุธสงครามเป็นไปตามข้อตกลงสหประชาชาติ ระบุจะไม่เอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง แต่เชื่อว่าได้ทำไปเพื่อสันติภาพของคนทั่วโลกและพิสูจน์ว่าไทยเป็นสมาชิกยูเอ็นที่ดี ไม่หวั่นตกเป็นเป้าโจมตี ปัดมีสินบนนำจับ เตรียมของบยูเอ็นดูแลค่าใช้จ่าย เชื่อต้องทำลายอาวุธบางส่วน แต่ถือเป็นส่วนน้อย
วันนี้ (16 ธ.ค.) ที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดีรังสิต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในการแถลงผลการปฏิบัติงานประจำปี 2552 และแถลงแผนการปฏิบัติงานประจำปี 2553 ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. รองผู้อำนวยการและคณะกรรมการอำนวยการ ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง
ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น นายอภิสิทธิ์เปิดเผยว่า มิติที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงมีมาก ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยาเสพติด แรงงานต่างด้าว การก่อการร้าย อาชญากรรม เหล่านี้จะกี่ยวข้องทั้งหมด ปีที่ผ่านมาเราได้ว่งโครงสร้างตามกฎหมายความมั่นคงได้เรียบร้อยและมีการดำเนินงานภารกิจหลายอย่างที่มีความก้าวหน้าไปพอสมควร มีตัวเลขยืนยันได้ เช่น เรื่องการจับกุมผู้เกี่ยวข้องยาเสพติด จำนวนเหตุการณ์ที่ลดลงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมไปถึงการที่เราได้ประกาศใช้กฎหมายดูแลรักษาความสงบ แต่การปรับปรุง การบูรณาการ การขับเคลื่อนต่อไป ต้องทำมากขึ้นใน 2 ปีข้างหน้า
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีการตรวจจับอาวุธสงครามได้มาจากประเทศอะไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตรงนี้อยากเรียนให้เกิดความเข้าใจว่า หน่วยงานทางการข่าวเขาทำงานกันเป็นเครือข่ายหลายประเทศ ไม่ได้เป็นเรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง และมันเป็นหน้าที่ของสมาชิกสหประชาชาติที่จะต้องดำเนินการ ตนคิดว่าสิ่งที่เราทำเป็นการพิสูจน์ว่า เราเป็นสมาชิกที่ดีของประชาคมโลก และจะได้ดำเนินการตามข้อมติของสหประชาชาติ เมื่อถามว่า ตอนนี้มีการวิจารณ์และกังวลว่าไทยอาจเป็นเป้าโจมตีของก่อการร้าย นายอภิสิทธิ์กล่าวยืนยันว่า ไม่มี เพราะเหตุการณ์อย่างนี้ก็เกิดขึ้นและเทียบเคียงได้ ก็มีหลายที่และเราไม่ได้เอาตัวเองไปอยู่ในความขัดแย้งอะไร เรามีหน้าที่ทำตามข้อมติของสหประชาชาติ ทุกประเทศที่เกี่ยวข้องก็เข้าใจดี
เมื่อถามว่า เรื่องรางวัลนำจับมีหรือไม่และได้เท่าไร นายอภิสิทธิ์กล่าวยืนยันว่า ไม่มี เมื่อถามว่าเราได้อะไรจากการจับกุมอาวุธสงครามครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยากเรียนว่าการที่เราจับกุมตามข้อมติของสหประชาชาติ ทุกคนในโลกได้ประโยชน์ หากเราไม่ทำและเกิดมาพบว่าสิ่งเหล่านี้ผ่านและเกิดขึ้นในประเทศไทยเราจะเสียหายมาก ฉะนั้น ที่ถามทำนองว่าเราได้อะไร ก็ต้องบอกว่าจริงๆ เราทำเพื่อคนทั้งโลกและเราได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเราเป็นสมาชิกที่ดี ขณะเดียวกัน เราไม่ได้เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อถามว่าค่าใช้จ่ายระหว่างนี้ดูแลอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายถ้ามีขณะนี้ต้องประสานกับทางสหประชาชาติและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
เมื่อถามว่า ความชัดเจนจำนวนของอาวุธมีเท่าไหร่ นาอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตามที่มีรายงานข่าวและแนวปฏิบัติกำลังหารือให้เรียบ้อน แต่บางส่วนอาจเป็นสิ่งที่เรายึดไว้และอาจจะใช้ประโยชน์ได้ ส่วนเรื่องการทำลายอาจจะมีน้อยมาก เมื่อถามว่าจำนวนเงินค่าใช้จ่าย ที่ขอทางสหประชาชาติขอเท่าไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ได้ลงลึกตรงนั้น ความจริงค่าใช้จ่ายตอนนี้หลักเป็นแค่ค่าขนส่งเท่านั้น ยังไม่ได้มีประมาณการค่าใช้จ่ายมา เมื่อถามว่าที่นายกฯบอกว่าบางส่วนที่ยึด จะเอาไว้ใช้ประโยชน์นั้นเป็นอาวุธชนิดไหนบ้าง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยัง ขอให้เจ้าหน้าที่เป็นคนชี้แจง เพราะค่อนข้างจะเป็นเรื่องทางเทคนิคว่า มีอะไรบ้างที่ต้องดำเนินการและมีอะไรบ้างที่ไม่ได้มีข้อกำหนด
เมื่อถามย้ำว่าตอนนี้ทราบแน่นอนแล้วหรือยังประเทศไหนเป็นผู้สั่ง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มันไม่ชัดเจน มันจะเดินทางต่อไปเท่านั้นเอง และเครื่องมันหนักมากรับน้ำหนักอยู่ 30-40 ตัน ต้องเติมน้ำมันบ่อย เราจะรู้ข้อมูลแค่จุด ที่จะไปเติมน้ำมันที่ต่อไปเท่านั้น
เมื่อถามว่า ทางสหรัฐฯ ได้ชมไทยให้ความร่วมมือดี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ใครชมมาก็ขอบคุณ แต่สิ่งที่เรียนคือเป็นเรื่องการทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกที่ดี เมื่อถามว่าได้หารือกับฝ่ายความมั่นคงประเมินถึงความเสี่ยงของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการจับอาวุธสงครามครั้งนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คุยกัน เพราะเรามีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า เรื่องนี้เราไม่เอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรกับความขัดแย้ง เมื่อถามว่าตกลงอาวุธมาจากที่ไหนกันแน่ เพราะภาษาที่สลักลงในตัวอาวุธไม่ใช่เกาหลี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรารู้แต่เครื่องมาจากไหน แต่ตัวอาวุธ เส้นทางอะไรของมันคงมีความสลับซับซ้อน เมื่อถามว่ายืนยันได้หรือไม่ว่าไม่ใช่จากเกาหลี นาอยภิสิทธิ์กล่าวว่า คงยังไม่มีใครยืนยันตรงนั้น
เมื่อถามว่ามีการตรวจสอบหรือไม่ เพราะมีข่าวว่าเครื่องนี้เคยขึ้นลงที่ไทยหลายครั้งแล้ว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มันมี แต่การเข้ามาแต่ละครั้งต้องอยู่ที่ว่า มีเหตุต้องสงสัยหรือไม่ เราถึงจะดำเนินการ เมื่อถามว่ากรณีของนายวิกเตอร์ นักค้าอาวุธชาวรัสเซียที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ที่ไทยเกี่ยวกันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่น่าจะเกี่ยวข้อกัน เท่าที่ตนดูมายังไม่เห็นมีอะไรที่ต้องไปโยง เมื่อถามว่า นักวิชาการต่างประเทศเปิดเผยว่านายวิกเตอร์ บุธ นักค้าอาวุธชาวรัสเซีย เคยใช้เครื่องบินนี้มา 3-4 ครั้ง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คิดว่าตอนนี้พยายามที่จะทำให้เรื่องมันขยายวงไปจริงๆ แล้วคิดว่าสิ่งที่เราทำคือเราเพื่อสกัดกั้นไม่ให้อาวุธเหล่านี้มันถูกนำไปใช้หรือไปค้าขายกันโดยไม่ถูกต้อง เมื่อถามว่าจะต้องทำลายอาวุธที่ยึดมาจำนวนเท่าไร นายอภิทธิ์ กล่าวย้ำว่า เข้าใจว่าขณะนี้เรื่องการทำลายอาจจะไม่มีหรือมีไม่มาก เพราะมันไม่ใช่อาวุธประเภทที่ต้องมีการทำลาย เมื่อถามว่า ขีดความสามารถการตรวจสอบของไทย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีปัญหา
เมื่อถามว่าแนวทางการสืบสวนสอบสวนจะหยุดที่ตรงไหนและจะขยายผลไปอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องว่ากันไปตามกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายใน ซึ่งขณะนี้ฝ่ายเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการอยู่