xs
xsm
sm
md
lg

ครม.ยืด 5 มาตรการอีก 3 เดือน คนไทยเฮหยุดยาวสงกรานต์ 6 วัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศุภชัย ใจสมุทร
ที่ประชุม ครม.มีมติยืดอายุน้ำ-ไฟ-รถเมล์-รถไฟฟรีออกไปอีก 3 เดือน ททท.เฮได้โบนัสย้อนหลัง 3 ปี กปน.ไม่น้อยหน้าได้ค่าตอบแทนพิเศษด้วย คนไทยเตรียมหยุดยาวเพิ่มชดเชยช่วงกรานต์อีก 2 วัน ขาประจำดอนเมืองโทลล์เวย์เศร้า รัฐบาลรั้งปรับค่าบริการไม่ได้

วันนี้ (15 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบขยายระยะเวลาในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนต่อไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2553 ทั้งนี้ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินเพื่อสนับสนุนการขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการฯให้แก่หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กปน. กปภ. กฟน., กฟภ., ขสมก. และร.ฟ.ท. เป็นวงเงินทั้งสิ้น 12,171.557 ล้านบาท

ทั้งนี้ มาตรการในส่วนของกระทรวงการคลังมีทั้งสิ้น 4 มาตรการ คือ 1.มาตรการลดค่าใช้จ่ายน้ำประปาของครัวเรือน ที่ดำเนินการผ่าน กปน. กปภ. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการใช้น้ำสำหรับผู้ใช้น้ำประเภทที่อยู่อาศัยที่มีปริมาณการใช้น้ำระหว่าง 0-20 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน(ประมาณ 130 ลิตรต่อคนต่อวัน) ลดลงจากมาตรการที่ 0-30 ลบ.ม.ต่อเดือน เพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนมีการใช้น้ำประปาอย่างประหยัดและคุ้มค่า และสามารถลดวงเงินที่รัฐรับภาระได้ประมาณ 1,265 ล้านบาท (จาก 4,112 ล้านบาท เป็น 2,847 ล้านบาท) หรือร้อยละ 30.76 ของวงเงินของช่วงการใช้น้ำเดิมที่ 0-30 ลบ.ม.ต่อเดือน

2.มาตรการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของครัวเรือน ดำเนินการผ่าน กฟน.และกฟภ. โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการใช้ไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน 3.มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่าน ขสมก. โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดาจำนวน 800 คันต่อวัน ใน 73 เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และ 4.มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น 3 ดำเนินการผ่าน ร.ฟ.ท. โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายจัดรถไฟชั้น 3 เชิงสังคม จำนวน 164 ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น 3 ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์จำนวน 8 ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบแนวทางการชดเชยให้รัฐวิสาหกิจ เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการฯตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2551 จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2552 ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อไม่เป็นภาระทางการเงินต่อรัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบดำเนินการ และจำนวนเงินชดเชยเป็นไปตามหลักการที่เหมาะสม ทั้งนี้ในส่วนของการตรึงราคาก๊าซหุงต้มนั้นเป็นในส่วนของกระทรวงพลังงานที่รัฐบาลได้ตรึงราคาไปจนถึงเดือนสิงหาคม 2553 อยู่ก่อนแล้ว

ด้าน นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.ให้ความเห็นชอบขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ต่อไปอีก 3 เดือน โดยจะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2553 และนอกจากนี้ครม.ยังเห็นชอบในแนวทางการชดเชยให้กับรัฐวิสหากิจที่วงเงินจะต้องมีการปรับลด เพราะครั้งที่ผ่านมามีการนำเสนอในกรอบ 6 เดือน และเมื่อ ครม.อนุมัติต่ออายุ 3 เดือนก็ต้องมีการปรับลดวงเงินชดเชยลงมา ซึ่งวงเงินครั้งแรก 1.2 หมื่นล้านบาท แต่นั่นเป็นตัวเลขของ 6 เดือน ถ้า 3 เดือนก็คิดว่าน่าจะลดลงมาประมาณครึ่งหนึ่ง แต่ทั้งนี้ตัวเลขต้องรอการยืนยันจากกระทรวงการคลังอีกครั้งหนึ่ง

นายวัชระแถลงอีกว่า ครม.ยังเห็นชอบข้อเสนอจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อนุมัติผลตอบแทนและโบนัสในปี 2546 -2548 ให้พนักงานและลูกจ้างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งส่วนนี้เป็นงบประมาณที่จ่ายไปแล้วจำนวน 142 ล้านบาท และในส่วนของปี 2549-2551 ที่ ททท.ได้เสนอมา ครม.ยังไม่อนุมัติ เนื่องจากยังมองว่ายังไม่เข้าหลักเกณฑ์ของผลตอบแทนของรัฐวิสาหกิจ ที่จะต้องมีการพิจารณากันต่อไป

ด้านนายแพทย์ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงเรื่องการพิจารณาการสลับหรือเลื่อนวันหยุดราชการประจำปี 2553 ซึ่งสำนักเลขาธิการครม.เป็นผู้เสนอว่าจากปกติจะมีวันหยุดราชการประจำปีทั้งหมด 16 วัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวันสำคัญของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และใน 16 วันนี้มีวันหยุดที่ตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์อยู่ 3 วันจึงได้กำหนดวันหยุดชดเชยวันมาฆบูชา วันปิยมหาราช และชดเชยวันวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

รองโฆษกฯ กล่าวอีกว่า จากการพูดคุยกันเพื่อส่งเสริมให้มีการเฉลิมฉลองงานอันเป็นมงคล ส่งเสริมวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทยเรา และส่งเสริมการท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน ครม.จึงมีมติเพิ่มวันหยุดอีก 2 วัน โดยกำหนดให้วันที่ 16 เม.ย.2553 เป็นวันหยุดเพิ่มหนึ่งวันต่อเนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งโดยปกติเทศกาลสงกรานต์จะมีวันหยุดวันที่ 13-15 เม.ย. ที่มีทั้งพิธีหลวงและพิธีราช จึงกำหนดเพิ่มวันหยุดวันที่ 16 เม.ย.อีกหนึ่งวัน เมื่อต่อเนื่องกับวันเสาร์ อาทิตย์ ก็ทำให้คนไทยเรามีวันหยุดต่อเนื่องที่ยาวนานถึง 6 วัน และ ครม.ยังกำหนดให้วันที่ 13 ส.ค.2553 เป็นวันหยุดเพิ่มอีก 1 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้ร่วมเฉลิมฉลองวันพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

“จะทำให้ปีหน้าเรามีวันหยุดราชการประจำปี ประจำสัปดาห์ วันหยุดชดเชยและวันที่หยุดเพิ่มอีก 2 วัน รวมแล้วปีหน้ามีวันหยุดทั้งสิ้น 122 วัน ทั้งนี้ สำหรับรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงินและภาคเอกชน ให้พิจารณาตามความเหมาะสมสอดคล้องกับข้อกฎหมาย ส่วนหน่วยงานใดเช่น โรงพยาบาล ศาล มีความจำเป็นเร่งด่วนหรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวที่มีการกำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว หากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหาย หรือกระทบต่อการให้บริการของประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายต่อราชการและประชาชน”นายแพทย์ภูมินทร์ กล่าว

ส่วน นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกฯ แถลงอีกว่า ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้การประปานครหลวง (กปน.) จ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษสำหรับพนักงานที่ได้รับเงินเดือนเต็มขั้น ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ดังนี้ 1.กรณีได้รับการพิจารณาระดับการให้ผลตอบแทนหนึ่งขั้น ให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ 2 ของเงินเดือนที่ถึงขั้นสูงของตำแหน่ง 2.กรณีได้รับการพิจารณาระดับการให้ผลตอบแทนหนึ่งขั้นครึ่ง ให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ 4 ของเงินเดือนที่ถึงขั้นสูงของตำแหน่ง และ 3.กรณีได้รับการพิจารณาระดับการให้ผลตอบแทนสองขั้น ให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ 6 ของเงินเดือนที่ถึงขั้นสูงของตำแหน่ง ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค.2552 (ปีงบประมาณ 2553) เป็นต้นไป และการจ่ายเงินดังกล่าวไม่ถือเป็นค่าจ้าง และมีลักษณะการจ่ายเป็นการชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่พนักงาน

“กระทรวงมหาดไทยรายงานว่า กปน.ได้ขอปรับปรุงโครงสร้างเงินเดือนใหม่ของพนักงาน ซึ่งใช้มาตั้งแต่ 1 ต.ค.2538 ซึ่งในการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ก็ได้ให้ความเห็นว่า กปน.ยังไม่สมควรปรับโครงสร้างเงินเดือนในขณะนี้ แต่อาจแก้ปัญหาพนักงานเงินเดือนแต็มขั้นโดยการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษเช่นเดียวกับภาคราชการ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานให้พนักงานไปพลางก่อน” นายศุภชัย กล่าว

นายศุภชัยแถลงอีกว่า นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมได้เสนอ ครม. เพื่อทราบเรื่องของการปรับค่าผ่านทางบนทางหลวงสัมปทาน (ดอนเมืองโทลล์เวย์) ซึ่งเดิมจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าผ่านทางใหม่ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. เป็นกรณีที่เป็นข้อตกลงของเอกชนกับรัฐผู้ให้สัมปทาน ที่ได้มีการกำหนดกันไว้เป็นกรณีที่ต้องให้เอกชนดำเนินการตามนี้ ดังนั้น กรณีขึ้นค่าผ่านทาง อาทิ จากด่านขาออกดินแดงสุทธิสารสำหรับรถนั่งไม่เกิน 4 ล้อ ปรับจาก 35 เป็น 60 บาทก็จะมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. - 21 ธ.ค.2557 ซึ่งทางส่วนราชการเองก็ไม่สามารถดำเนินการอย่างไรได้

“เพียงแต่ว่าถือว่าเส้นทางประชาชนมีเส้นทางทางเลือกที่จะใช้เส้นทางอย่างอื่นได้ที่เป็นทางปกติที่ทางราชการได้ทำไว้แล้ว เพราะฉะนั้นก็คือการขึ้นค่าบริการดอนเมืองโทลล์เวย์จะมีผลในวันที่ 22 ธ.ค.” นายศุภชัยกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น