เบื้องหลังความเจ็บปวดของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่าขาดภาวะความเป็นผู้นำจากปัญหาที่ยังไม่สามารถตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ได้ โดยครั้งแรกถูก กตช. 5 ต่อ 4 คว่ำชื่อ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ที่ “อภิสิทธิ์” เสนอ
จนผู้นำรัฐบาลเกือบตัดสินใจ ยุบสภา
ก่อนที่จะเกิดแรงฮึดสู้อีกรอบเรียกประชุมครั้งที่สอง แต่ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด อันมีสาเหตุมาจากการอ้าง “เงื่อนไขพิเศษ” จนทำให้ กตช.สาย “อภิสิทธิ์” ในขณะนั้น ซึ่งรวมถึง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ใส่เกียร์ถอย เสนอให้ “นายกรัฐมนตรี” ไปแก้ปัญหานอกรอบก่อนเสนอกลับเข้าสู่การประชุม กตช.อีกครั้งเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ
หากวัดกำลังใน กตช.ขณะนี้ก็ต้องบอกว่า คะแนนสูสีก้ำกึ่งมาก
ระหว่างสาย “อภิสิทธิ์” กับ ก๊วนที่สนับสนุน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย อันประกอบไปด้วย ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย มานิตย์ วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย นพดล อินนา และ เรวัติ ฉ่ำเฉลิม
ส่วนสาย “อภิสิทธิ์” ประกอบด้วย พีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ถวิล เปลี่ยนสี เลขา สมช. พล.ต.อ.ธวัชชัย ภัยลี้ (กตช.ผู้ทรงคุณวุฒิแทนพล.ต.อ.สุเทพ ธรรมรักษ์ที่ลาออกไป) และ สุภา ปิยะจิตติ ผอ.สำนักงานคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ (แทนปิยะพันธ์ นิมมานเหมินทร์) ซึ่งยังทำหน้าที่ไม่ได้เพราะยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ชะตากรรมของ กตช.สาย “อภิสิทธิ์” ดูเหมือนจะอยู่ในภาวะพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ราหูเข้าอมจันทร์ อย่างไรอย่างนั้น โดยเฉพาะ กตช.ใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง เริ่มกันที่ พล.ต.อ.ธวัชชัย ภัยลี้ ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯทำหน้าที่ได้แล้ว ก็เจอฤทธิ์สีน้ำเงินตั้งแต่วันแรกที่ได้รับเลือก ให้เป็น กตช.
เคราะห์ดีที่จิตไม่ตกตั้งรับทัน โดยเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือทันที เพื่อตัดปัญหาคนส่งสัญญาณพิเศษออกไป แถมหนีร้อนไปหลบอยู่สิงคโปร์ทำให้อีกฝ่ายตามตัวไม่เจอ เจรจาไม่ได้แต่ก็ยังไม่วายส่งตำรวจไปเฝ้าหน้าบ้านอยู่หลายวัน ล่าสุดมีชื่อพล.ต.อ.ธวัชชัยถูกเรียกสอบกรณีจัดซื้อรถมอเตอร์ไซค์ไทเกอร์ด้วย
เป็นเกมใต้ดินที่ตอนนี้ชะลอออกไป เพราะการเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ยังไม่เกิด เชื่อขนมกินได้เลยว่าหากมีการเรียกประชุม กตช.เพื่อเลือก ผบ.ตร.เมื่อไหร่
กลยุทธ์วิชามารสารพัดก็จะถูกงัดออกมาใช้ทันที
เงื่อนไขหนักหนาสาหัส การข่มขู่คุกคามไม่ให้สนับสนุน “พล.ต.อ.ปทีป” นั้น เป็นเรื่องที่ กตช.หมาด ๆ อย่าง “สุภา ปิยะจิตติ” รู้ดี และยืนยันว่าแข็งแกร่งพอที่จะไม่หวั่นไหวง่าย ๆ จึงเหลือแต่เพียงรอการโปรดเกล้าฯเพื่อทำหน้าที่เท่านั้น
ส่วน “พีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ก่อนหน้านี้เคยเจอคำถามว่า “อยากเป็นรัฐมนตรีสมัยเดียวหรือ” กับ “ถวิล เปลี่ยนสี” ที่ถูกสะกิดต่อมความซื่อสัตย์ภักดี แม้จะสะท้านสะเทือนอยู่บ้าง แต่ก็ยังกัดฟันเชิดหน้าเคียงข้าง “อภิสิทธิ์” ต่อไป
การยืนหยัดต่อสู้เรื่องนี้อย่างเด็ดเดี่ยวของ “อภิสิทธิ์” คนรู้ใจ“อภิสิทธิ์” บอกว่า มิใช่ทำเพื่อคนที่ชื่อ “พล.ต.อ.ปทีป” แต่ดำเนินการเพื่อให้ได้บุคคลที่มีคุณสมบัติสำคัญสองประการที่ “อภิสิทธิ์” เคยอธิบายผ่านรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ไว้ว่า
“ผมวิเคราะห์นะครับ สถานการณ์ในวันนี้ สิ่งที่เราต้องการก็คือทำอย่างไรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก้าวเข้าสู่ความเป็นตำรวจอาชีพ ต้องยอมรับครับว่าหลายปีที่ผ่านมา มีเรื่องของการเมืองเข้าไปแทรกแซง และระบบคุณธรรมในตำรวจได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง เพราะฉะนั้นบุคคลที่ผมเสนอชื่อ ผมมองว่าจะต้องมีคุณสมบัติสองอย่าง
อย่างแรกคือ สามารถที่จะทำให้ความขัดแย้งภายในลดลงได้ เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับนับถือ และมีบุคลิกในลักษณะที่จะสามารถประสานความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อให้การทำงานของทางตำรวจมีประสิทธิภาพ ประการที่สอง ในภายนอกต้องมีความยอมรับนับถือ ในลักษณะของความเป็นกลางทางการเมืองและสามารถเดินหน้าคดีต่าง ๆ ได้อย่างตรงไปตรงมา”
แม้เจตนาดีแต่ก็ยังต้องฝ่ามรสุมการช่วงชิงอำนาจในหมู่สีกากี โดยมี “การเมืองสีน้ำเงิน”หนุนหลัง
ตัวแปรสำคัญคือ กิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่ยังไม่ชัดว่าจะเลือกข้างไหน ซึ่งหากเปลี่ยนใจเบนเข็มไปหนุนอีกฝั่ง หลังถูกล็อบบี้อย่างหนัก ฟาก “อภิสิทธิ์” ก็จะแพ้ทันที
เว้นแต่ว่า “อภิสิทธิ์” จะใช้สิทธิ์ลงคะแนนในฐานะ กตช. เติมเสียงให้เป็น5ต่อ5 และโหวตอีกครั้งเพื่อตัดสินในฐานะประธาน กตช. ก็จะได้รับชัยชนะในศึกนี้ ซึ่งตามกฎหมายเปิดช่องให้ทำได้
แต่เชื่อว่า “อภิสิทธิ์” คงไม่เลือกเส้นทางนี้ ขณะที่พัฒนาการของการแก้ปัญหาก็เดินหน้าไปได้มากสมกับเป็นช่วงมหามงคล
ดังนั้นหากจะมีการเรียกประชุม กตช.เพื่อเลือก ผบ.ตร.อีกครั้ง “อภิสิทธิ์” ต้องมั่นใจ 100 % ว่าชื่อที่ตัวเองเสนอต่อที่ประชุมจะได้รับเสียงสนับสนุนด้วยคะแนนเอกฉันท์ เพื่อให้สอดคล้องกับการขอเวลาแสวงหาเอกภาพ ซึ่งผ่านไปแล้วเกือบสามเดือน
แต่ต้องบอกว่าไม่ง่าย เพราะอีกฝ่ายยังไม่ยอมเลิกรา เงื่อนไขเดิม วิธีการเก่า ๆ ยังคงอยู่ จึงเป็นหน้าที่ของ “อภิสิทธิ์” ต้องหยุดให้ได้
มิเช่นนั้นโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินจะบิดเบี้ยว จนยากต่อการบริหารบ้านเมือง