นายกฯรับประชาชนไม่พอใจรัฐดับไฟใต้อืด อ้างงบเพิ่งลง เชื่อ คลอดกฎหมาย ศอ.บต.ได้กลางปีหน้า พร้อมรับปากส่งเสริมอุตสาหกรรม ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ต่อหัวปี 55 ยันเน้นเนื้องานเป็นหลัก ไม่ใช่เน้นเหตุผลทางการเมือง ขณะที่ เอกชน-นักวิชาการซัด เล่นการเมืองมากกว่าแก้ปัญหา
วันนี้ (29 พ.ย.) เมื่อเวลา 15.00 น.ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์ภาครัฐกับการพัฒนาภาคใต้อย่างยั่งยืน” โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ไปยังที่ มอ.หาดใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.โดยนายกฯชี้แจงถึงสาเหตุที่ไม่เดินทางลงไปในพื้นที่ ว่า เนื่องจากมีการเลือกตั้งซ่อมในวันเดียวกัน ซึ่งในทางกฎหมายมีกติกามากมาย จึงไม่อยากให้ตกเป็นข้อครหาว่าเอารัดเอาเปรียบทางการเมือง ดังนั้น ในลักษณะนี้ในช่วงที่ปิดหีบแล้วน่าจะสบายใจมากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แนวคิดการแก้ไขปัญหาภาคใต้ รัฐบาลนี้ไม่เหมือนกับรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แยกส่วน โดยให้ทหารและตำรวจทำงานเฉพาะความมั่นคงเพียงอย่างเดียว ส่วนรัฐบาลนี้เห็นว่าหัวใจสำคัญ คือ เรื่องการพัฒนาและการอำนวยความยุติธรรม โดยจะมีการบูรณาการหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการยกร่างกฎหมายจัดตั้งศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.) ที่เพิ่งผ่านการพิจาณาของสภาผู้แทนราษฎร ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่คาดว่า จะสามารถออกมาบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ในกลางปีหน้า ดังนั้นระหว่างนี้ก็จะให้ ครม.ภาคใต้เป็นฝ่ายกฎหมายยุทธศาสตร์ในการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ไปพรางก่อน
“เหตุการณ์ใน 11 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวนการก่อเหตุลดลงเพิ่งเล็กน้อย ชาวบ้านยังไม่พึงพอใจ โดยเฉพาะเหตุสะเทือนใจที่มัสยิดไอร์ปาแย ขณะนี้ผมก็กำชับให้เจ้าหน้าที่เร่งหาคนกระทำผิดให้ได้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี 2555 รายได้ต่อหัวของคนในพื้นที่จะดีขึ้น จะมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังไม่ถึงจุดที่เราจะอยู่ตัว เพราะยังมีกลไกทางกฎหมายที่ต้องทำและงบที่เพิ่งลงไป แต่มั่นใจว่า ทิศทางที่รัฐบาลทำมาเป็นแนวทางที่ถูกต้อง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นโยบายด้านการพัฒนาของรัฐบาลที่ลงไป ส่วนใหญ่ได้รับการตอบรับในทางบวก โดยเฉพาะการก่อสร้างถนน นอกจากนี้ ยังยืนยันว่า จะมีการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในภาคใต้ตอนบน อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลจากหลายฝ่ายต่อบางโครงการ อาทิ โครงการแลนด์บริดจ์และก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา จ.สตูล โดยเฉพาะโครงการหลัง ที่มีความกังวลเรื่องของสิ่งแวดล้อม เนื่องจากจะมีการวางท่อแก๊สและน้ำมัน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ยืนยันว่าโครงการดังกล่าวยังไม่มีการะงับ แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์
“อย่างไรก็ตาม บางเรื่องที่เอกชนเสนอมาผมก็ไม่เห็นด้วย เช่น การให้มีเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพลกซ์ หรือบ่อน เพราะการไปเปิดธุรกิจประเภทนั้นจะไปซ้ำเติมความรู้สึกพี่น้องประชาชน เนื่องจากขัดกับหลักความเชื่อทางศาสนา” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับแนวทางผ่อนปรนลดความขัดแย้งต่อแนวทางการแก้ปัญหาพื้นที่ภาคใต้ของรัฐบาลนั้น รัฐบาลนี้ใช้แนวทางยืดหยุ่น ผ่อนปรน โดยเรื่องปัญหาที่ดินทำกิน ได้มอบให้นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทยเข้าไปดูแล เอาเรื่องโฉนดชุมชนเข้าไป เชื่อว่าจะเป็นแนวทางแก้ปัญหาได้ดี และยังมีการนำแผนไทยเข็มแข็งเขาไปพัฒนาในพื้นที่ด้วย เป็นการยืนยันเชื่อมโยงความร่วมมือต่อกันทั้งทางด้านนายโยบายต่างประเทศ เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการเมือง
จากนั้นนายกฯได้เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมได้ซักถาม โดยรองประธานสภาอุตสาหกรรมภาคใต้ ถามว่าภาคเอกชนไม่มั่นใจความต่อเนื่องแผนงานต่างๆ เพราะการเมืองไทยไม่นิ่ง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยอมรับว่า การเมืองไทยมีปัญหาเรื่องเสถียรภาพแต่เราก็พยายามจัดวางระบบ ซึ่งทั้งตัวกฎหมายและแผนงานต่างๆ ตนยังไม่เคยได้ยินว่ามีกลุ่มการเมืองไทยออกมาคัดค้าน ทำให้ตนเชื่อว่าหลังจากนี้ไปไม่ว่าพรรคการเมืองไหนออกมาเป็นรัฐบาลก็จะเดินตามแผนงานนี้ต่อไป ไม่เหมือนรัฐบาลชุดก่อนๆที่เคยบอกว่าจะพัฒนาเฉพาะจังหวัดที่เลือกตนเองเท่านั้น
ด้าน นายปิยะ กิจถาวร คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มอ.ปัตตานี ถามว่า การแก้ปัญหาภาคใต้ดูเหมือนนายกฯจะไม่เข้าไปดูแลโดยตรง การเพิ่มขอบเขตให้กฎหมาย ศอ.บต.ครอบคลุมไป 5 จังหวัด เหตุผลในการตัดสินใจ ทำในฐานะหัวหน้ารัฐบาลหรือหัวหน้าพรรคการเมือง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเป็นคนยืนยันว่าจะต้องนำกฎหมายนี้เข้าสภาให้เร็วที่สุด และผลักดันนโยบายต่างๆ ด้วยตัวเองโดยตรง แต่ในขั้นตอนการปฏิบัติได้มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และ นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย เป็นคนรับผิดชอบ เพราะคุ้นเคยในพื้นที่ดี ส่วนการตัดสินให้ จ.สตูล และอำเภออื่นๆ ใน จ.สงขลา เข้ามารวมด้วย ครม.เป็นฝ่ายพิจารณาที่จะขยายให้ครอบคลุม เพราะเมื่อคุยถึงการแก้ปัญหาภาคใต้มักจะมีมิติด้านเศรษฐกิจเข้ามาด้วย ซึ่งหากจะมีการท้วงติงภายหลังก็สามารถทำได้ เพราะปัจจุบันฝ่ายนิติบัญญัติกำลังหาข้อยุติ รัฐบาลไม่ได้ยึดเป็นคาถาว่าจะต้องใช้ 5 จังหวัด เหตุผลอะไรดีก็ตัดสินใจ
ขณะที่ ผอ.นสพ.โฟกัสภาคใต้ ถามว่า นับแต่เป็นรัฐบาลคนใต้รู้สึกว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่มีผลงานที่ชัดเจน เป็นการบริหารจัดการทางการเมืองมากกว่าการบริหารทำให้การแก้ปัญหาไม่ยั่งยืน 6 เดือนจากนี้จะได้เห็นอะไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเข้าใจว่า ความคาดหวังในพื้นที่มีสูง ก็ต้องการอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว แต่รัฐบาลเพิ่งเริ่มเอาลงไปเพียง 1-2 เดือนนี้เอง ปัญหาบางอย่างหากไม่ใช้มิติทางการเมือง ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ อาทิ ปัญหาอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม ตนยืนยันว่า การทำงานที่ผ่านมายึดเอาเนื้องานเป็นหลัก ไม่ใช่เหตุผลการเมืองเป็นหลัก