ศูนย์ข่าวศรีราชา - กรมศุลกากรจัดสัมมนานายด่านตรวจศุลกากรทั่วประเทศ วางนโยบายปฏิวัติการทำงานทั้งระบบ ชี้เปลี่ยนภาพจากผู้จัดเก็บภาษีมาเป็นผู้ให้บริการด้านการค้า ระบุไตรมาส 4 ปี 52 ตัวเลขการส่งออก-นำเข้าสินค้าเป็นบวกสะท้อนเศรษฐกิจดีขึ้น เชื่อปี 53 การส่งออกช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพิ่มขีดการแข่งขันให้ประเทศ เผยภาคตะวันออกมีการค้าชายแดน-นิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือน้ำลึก ช่วยเสริมความเข้มแข็งและเป็นตัวจักรสำคัญ
วันนี้ (19 พ.ย.) นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดการสัมมนานายด่านศุลกากรทั่วประเทศ ที่โรงแรมไอยศวรรย์ รีสอร์ทแอนด์สปา พัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมศุลกากร ท่ามกลางผู้เข้าร่วมสัมมนาจากด่านศุลกากรทั่วประเทศ 45 แห่ง สำนักงานศุลกากรภาคที่ 1-4 รวมถึงผู้บริหารส่วนกลางและกลุ่มงานที่ปรึกษาในต่างประเทศอีก 3 แห่งเข้าร่วม
นายประสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้กรมศุลกากรมีนโยบายสำคัญในการปฏิรูประบบการทำงานให้มีการปรับทบบาทจากผู้จัดเก็บรายได้มาเป็นผู้ให้บริการและอำนวยความสะดวกด้านการค้า ที่มุ่งเน้นการทำงานครอบคลุม 4 ด้าน คือ ด้านกฎหมาย, ด้านบุคลากร, ด้านการบริการ และด้านระ บบสารสนเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของระบบเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งนี้เรื่องของการค้าชายแดนจะเป็นเรื่องสำคัญเพราะประเทศไทยมีแนวเขตติดกับชายแดนประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบก และทางน้ำ รวมทั้งสิ้น 30 จังหวัด การผลักดันเรื่องดังกล่าวจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ เรื่องของการปฏิรูปกฎหมายศุลกากรให้สอดคล้องและอำนวยความสะดวกกับภาค เอกชนก็ได้มีการผลักดันอย่างต่อเนื่องเพื่อความเป็นธรรมต่อภาคธุรกิจ รวมถึงเรื่องเว็บไซต์นำ เสนอข้อมูลข่าวสารของกรมศุลกากรก็ต้องมีความชัดเจน รวมถึงช่วยอำนวยความสะดวกด้านการทำงานและเพิ่มเครือข่ายการทำงานให้กว้างขวางขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องลำดับแรกๆ ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง
นายประสิทธิ์ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลได้ดำเนินการในเรื่องของงบประมาณไทยเข้มแข็ง ซึ่งในขณะนี้ได้มีการพิจารณาจัดสรรในส่วนของกรมศุลกากรแล้ว ซึ่งจะมีการจัดสรรงบประมาณพัฒนาและขยายด่านศุลกากร รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของด่าน อีกทั้งเรื่องของการสร้างที่พักให้พนักงานด้วยเช่นกัน นอกจากนี้รัฐบาลยังอนุมัติงบประมาณส่วนหนึ่งในการบำรุงรักษาเครื่องเอ็กซเรย์รวมทั้งสิ้น 12 ตัวสำหรับด่านศุลกากรมาแล้วด้วยเช่นกันซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางการปฏิรูปการทำงาน
“กรมศุลกากรต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้เก็บภาษี มาเป็นผู้อำนวยความสะดวกและจะเป็นหน้าด่านสำคัญของการค้าของเรา จึงต้องเปลี่ยนบทบาทของศุลกากรเป็นผู้ให้บริการที่มีความอดทน และต้องมีการวางแผน โดยเฉพาะแผนงานบุคคลของศุลกากร เพราะแผนที่ดีจะช่วยรองรับการขยายตัวของภูมิภาคในอนาคตได้ ที่สำคัญการปฏิรูปต้องมีแผน และต้องเป็นธรรม” นายประดิษฐ์ ระบุ
ด้าน ดร.สมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดด้วยว่า ภาพรวมการส่งออกไทยในไตรมาสที่ 3-4 ของปีนี้ดีขึ้น การส่งออกติดลบลดลง ส่วนการนำเข้ามีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และสำหรับอากรขาเข้าที่กรมศุลกากรจัดเก็บได้ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจัดเก็บได้เกิน 20 % และไตรมาสที่ 4 นี้ตัวเลขขยับเป็นบวก หลังจากติดลบมาตลอด นับเป็นสัญญาณที่ดีที่ชี้ว่าเศรษฐกิจได้ฟื้นตัวแล้ว และเชื่อว่าในปี 53 จะดีขึ้นกว่านี้ ในส่วนขอแงเรื่องการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาสถานการณ์การค้ายังคงเป็นปกติถึงแม้ท่าทีของ 2 ประเทศยังคงเป็นไปอย่างไม่สวยงามนัก และหากไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นสถานการณ์ภาคการค้าคงจะไม่เกิดการกระทบแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในปี 53 กรมศุลกากรจะผลักดันเรื่องการส่งออกให้เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งกรมศุลกากรมีความพร้อมสำหรับภารกิจดังกล่าวอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งการปฏิรูปเรื่องกฎหมายศุลกากรจะมีความชัดเจนในไม่กี่วันนี้ เพราะจะมีการเสนอเรื่องแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าวต่อรัฐบาลเพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมอย่างชัดเจน
ต่อข้อซักถามของผู้สื่อข่าวในทิศทางและแนวโน้มการเติบโตของการค้าการส่งออกในภาคตะวันออก อธิบดีกรมศุลกากรชี้ว่า ความเข้มแข็งของการรองรับการส่องออกของภูมิภาคนี้มีศักยภาพเพราะมีทั้งการค้าชายแดน นิคมอุตสาหกรรม และท่าเรือน้ำลึกแหมฉบัง ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญของการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศอำจะนำมาซึ่งความเข้มแข็งทางภาคธุรกิจ ถึงแม้ว่าขณะนี้กรณีมาบตะพุดจะมีปัญหาก็ตาม แต่ปัญหาก็จำเป็นต้องแก้ไข ซึ่งกรมศุลกากรพร้อมที่จะช่วยแก้ปัญหาในส่วนที่คาบเกี่ยวในทุกเรื่องด้วยเช่นกัน