ศอ.รส.ไม่ประมาท แม้ “แดงถ่อย” ถอยทัพเลิกชุมนุมไปแล้ว แต่ยังไม่วางใจ ยันมติเดิมคง พ.ร.บ.มั่นคงไว้ ย้ำไม่กระทบชีวิตประจำวันประชาชน โดยได้สนธิกำลังทุกเหล่าทัพ ผนึก 48 กองร้อยดูแลความสงบในที่ตั้ง ชี้ เป็นนิมิตรหมายดี “เสื้อแดง” คิดได้เลื่อนชุมนุม
วันนี้ (25 พ.ย.) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยร่วมรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานการประชุม โดยมี ผบ.เหล่าทัพ และหน่วยงานด้านความมั่นคงเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีการพูดถึงเรื่อง พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่มีการออกข้อกำหนดตามมาตรา 18 ซึ่งข้อกำหนดประกอบด้วย 5 เรื่องที่สำคัญ ประกอบด้วย 1.เจ้าหน้าที่รัฐส่วนต่างๆ ต้องให้ความร่วมมือในกาปฏิบัติ ศอ.รส. กรณีการร้องขอกำลังสนับสนุน 2.ไม่ให้มีพกพาอาวุธออกนอกเคหาะสถาน 3.สถานที่ราชการห้ามบุคคลบุกรุกเข้าไป 4.ห้ามใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ และ 5.การห้ามใช้เส้นทางบางเส้นทาง ซึ่งการออกข้อกำหนดจะเป็นลักษณะกว้างๆ ส่วนรายละเอียดข้อกำหนดเพิ่มเติมยังไม่ได้ออกเป็นข้อจำกัดทั้งหลาย แต่จะมีผลปฏิบัติ 3 ประเด็นหลักตามที่มีการประชุม ศอ.รส. ได้แก่ 1.สถานที่ราชการ หรือ สถานที่ที่เจ้าหน้าที่ของ ศอ.รส.ปฏิบัติภารกิจอยู่ใครไม่มีกิจธุระห้ามเข้าไป แต่หากมีธุระก็สามารถเข้าไปได้แต่ต้องได้รับอนุญาต 2.ห้ามพกพาอาวุธ และ 3.เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องให้ความร่วมมือการปฏิบัติงานของ ศอ.รส. ส่วนการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ และห้ามใช้เส้นทางบางเส้นทางยังไม่ได้ห้ามยังสามารถปฏิบัติได้ตามปกติ
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาถึงแผนการปฏิบัติ และโครงสร้างของ ศอ.รส. เพื่อให้แผนการปฏิบัติการมีความชัดเจน แต่ปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป โดยกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ประกาศยกเลิกการชุมุนุมอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งการเลื่อนครั้งนี้อาจจะเป็นช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช และใกล้กับช่วงปีใหม่ ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความไม่ประมาททาง ศอ.รส. ยังคง พ.ร.บ.ความมั่นคงตามที่ได้ประกาศไว้ คือวันที่ 28 พ.ย.ถึงวันที่ 14 ธ.ค.นี้ รวม 17 วันตามปกติ โดยจะมีการจัดกำลังจากทหาร ตำรวจ จำนวน 48 กองร้อย โดยแบ่งเป็นกองกำลังทหารจากกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ จำนวน 30 กองร้อย และตำรวจ จำนวน 18 กองร้อย และเจ้าหน้าที่ในส่วนของ กทม.อีกจำนวน 1,000 นาย ซึ่งกำลังที่จัดเตรียมเอาไว้จะไม่ออกมาปฏิบัติงานข้างนอก แต่จะอยู่ในที่ตั้งตามปกติ เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเราเตรียมไว้เพื่อไม่ประมาณ จุดมุ่งหมายในการประกาศ พรบ.ความมั่นคงเพื่อดูแลความเรียบร้อย เมื่อไม่เกิดอะไรขึ้นก็ถือว่าประสบผลสำเร็จแล้ว
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ในพื้นที่จุดตรวจร่วมระหว่างทหาร-ตำรวจ จะไม่แล้ว แต่จะมีเฉพาะจุดตรวจของตำรวจเท่านั้น เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชน โดยตำรวจจะเน้นการปราบปรามยาเสพติด ก็จะพิจารณาความเหมาะสม หรือความถี่ที่มีอยู่ สำหรับสถานที่ราชการสำคัญ ทำเนียบ รัฐสภา ก็จะไม่มีการจัดกำลังเข้าไปเพิ่มเติมแต่อย่างใด ส่วน พ.ร.บ.ความมั่นคง จะยกเลิกหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้เห็นว่าการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือไม่ประกาศในช่วงนี้จะไม่มีผลแตกต่าง เพราะประชาชนไม่ได้รับผลกระทบอะไรอยู่แล้ว ข้อกำหนดที่ระบุไว้มี 3 ประเด็นหลักก็ไม่ส่งผลอะไร แต่เป็นการเตรียมการไว้สำหรับผู้ไม่หวังดี ที่คิดว่าจะสร้างความวุ่นวาย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบได้ เป็นมาตรการเชิงป้องกัน
