พิษณุโลก - เจ้าอาวาสวัดใหญ่เทศน์ย้ำ “ฟ้ามีตา คอยมองดู แผ่นดินเป็นหูคอยฟัง” ยืนยันการตัดกรรมไม่เคยมี ความทุกข์ยากของคนเกิดจากผลบาปที่สร้างมากกว่าผลบุญ ย้ำ “หนีไปแดนไกล คิดแต่อุบาย-โกงกิน-คนไม่รู้จักพอ-ปัญญาไม่เกิด” ทำให้ตัวเองลำบากและยังชักชวนคนอื่นไปลำบากด้วย ระบุการอภัยโทษทำไม่ได้ เป็นการกระทำที่ไม่บังควร เหมือนกับบังคับพระองค์ท่าน
พระธรรมเสนานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารหรือวัดใหญ่และรองเจ้าคณะภาค 5 เทศน์ว่า เวลานี้มีคนกำลังเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน เพราะคนไทยมีการศึกษาน้อย ขึ้นอยู่ว่า ใครพูดดี หรือไม่ดี ใครมีจิตวิทยาสูงก็ลากจูงกันไป โดยไม่ใช้สติคิด คนไทยถูกแบ่งออกเป็นฝ่ายๆ หลวงพ่อไม่ว่า แต่พอทำกันไปเกิดความขัดแย้งเป็นศัตรูกัน 2 ฝ่าย แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเกิดความรุนแรง ใครจะรับผิดชอบ ลูกเมียที่อยู่ข้างหลัง จะว่าอย่างไรถ้าเกิดแขน ขาพิการ ใครล่ะจะต้องมาดูแล
“ไม่กี่วันก่อนมีกลุ่มเสื้อแดงมาหาหลวงพ่อที่นี่ 20 คน เพื่อมาขอใช้สถานที่ แต่หลวงพ่อก็ถามกลับไปว่า ก็สั่งพระห้ามเล่นการเมืองไม่ใช่รึ พระไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ถามว่าจะมาทำไม พระอยู่ส่วนพระ จะเอาวัดใหญ่ไปยุ่งกับการเมืองรึ! บ้านมึง(ตัวเอง)ก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเอาวัดไปทำบุญ ถ้ามานิมนต์ กู(หลวงพ่อ) ก็ไม่ไป เพราะ การเมืองก็คือ การเมือง ศาสนาก็ศาสนา”
สาเหตุที่หลวงพ่อไม่ให้ใช้สถานที่ของกลุ่มเสื้อแดง เพราะ 1. ถ้าเกิดเหตุอะไรที่วัดใหญ่ ใครจะรับผิดชอบ 2.กฎข้อห้ามวัด ห้ามยุ่งกับการเมือง 3.ไม่ให้นักบวช เล่นการเมือง และสุดท้ายคือ จะทำให้เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเดือนร้อน เรามาพึ่งพระบรมโพธิสมพาน ถือเป็นบุญหนักหนา ลองไปอยู่ประเทศอื่นก็ลองคิดดูเถอะ ไม่มีอะไรดี เมืองไทยนั้นดีอยู่แล้ว แต่กลับใช้ไม่เป็น เช่น เมืองไทยมีน้ำสมบูรณ์ แต่เก็บไม่เป็น มีข้าวก็ปล่อยให้โกงกิน ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อไม่มีสิทธิ์ ไปสั่งวัดใดไม่ให้ จัดงาน แต่หลังจากที่กลุ่มเสื้อแดงมาขอใช้สถานที่แล้วปฏิเสธไป กลับมีคนมาบอกว่า เจ้าคุณศรีฯ(เรียกตำแหน่งเดิม) นั้น สั่งห้ามไปทุกวัดที่พิษณุโลก จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ ขอร้องว่า อย่าให้หลวงพ่อไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เรื่องของสถานที่วัด มีข้อกำหนดระบุว่า วัดไม่สามารถใช้เป็นสถานที่หาเสียงได้
พระธรรมเสนานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารหรือวัดใหญ่และรองเจ้าคณะภาค 5 เทศน์ต่ออีกว่า การตัดกรรม ทางโลกนั้นไม่มี ใครทำกรรม ก็ต้องรับกรรมไป คำว่า “คว่ำบาตร”ก็ไม่มีในทางโลก คว่ำบาตร ก็เป็นเพียงศัพท์ของสงฆ์ที่หมายถึง คนดื้อแพ่ง ในหมู่ของสงฆ์ จะไม่คบหา ไม่พูดจาด้วย เป็นการลงโทษตามกรรม ตรงกันข้าม คำว่า “หงายบาตร”ในทางสงฆ์หมายถึง หมู่มวลพระสงฆ์ยกโทษให้ ยอมให้เข้าสังคมสงฆ์ได้ แต่คนไทยกลับนำศัพท์ของสงฆ์ไปใช้
“การตัดกรรม”นั้นไม่มี ใครมีบุญมาก ผลแห่งบาปที่ทำเอาไว้ ตามไม่ทัน แต่คนที่ไม่เคยทำบุญ จึงมีแต่ผลบาปกรรมตามมาทัน เพราะไม่มีบุญส่งเสริมหรือเกื้อหนุน สรุปว่า คนเราในโลกนี้ มีทั้งบุญและบาปติดอยู่กับตัวที่ตัวเองทำเอาไว้ ความทุกข์ยากที่เกิดก็เพราะผลบาปที่สร้างขึ้นนั้นมากกว่าบุญ
เจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารหรือวัดใหญ่ และรองเจ้าคณะภาค 5 ยังเทศน์อีกว่า เมื่อทำกรรมแล้วก็ต้องรับ “ฟ้ามีตา คอยมองดู แผ่นดินเป็นหูคอยฟัง”ประเทศไทยอยู่ได้เพราะพุทธศาสนา แต่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คือ คนเรามี มานะฐิติ เคยคิดกันหรือไม่ว่า เมื่อเจ็บ ล้มตาย ใครอยู่ข้างหลัง คิดถึงครอบครัวกันหรือไม่ คิดเพียงว่า ได้เงิน ก็ทะเลาะกัน เพื่ออะไร แค่อำนาจนั้นรึ ไปเอาทรัพย์สินคนอื่นเขามา มีอำนาจแล้วเพื่ออะไร
พระธรรมเสนานุวัตร เทศน์ย้ำว่า คนไทยที่แบ่งฝ่ายก็เพราะคนใช้จิตวิทยาสูงชักจูงผู้คน ดันทุรัง ถามว่า ขออภัยโทษ มึงติดคุกหรือยัง มึงหนีไปอยู่นอกประเทศ ฉะนั้นจะไปขออภัยโทษนั้นไม่ได้ คนที่ทำก็คือ ตัวเองเท่านั้น ต้องมาเซ็นชื่อขอเอง และถือว่า เป็นการกระทำที่ไม่บังควร เหมือนกับบังคับพระองค์ท่าน ทำไม่ได้ มิฉะนั้น คนอยู่ในป่า คนอยู่ในคุก ก็ขออภัยโทษกันหมด
“ใครล่ะบอกว่า ทักษิณ (ชินวัตร) มาแล้ว จะสบาย ถามว่า จะเอาตังค์ ที่ไหน ส่วนเสื้อเหลือง หลวงพ่อ ไม่วิจารณ์ ให้คิดเอาเอง มันเป็นเรื่องของการเมืองแล้ว” หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดใหญ่ เทศน์ และย้ำต่อว่า
“หนีไปต่างประเทศคิดแต่อุบาย คิดแต่เรื่องโกงกิน คนไม่รู้จักพอทำให้ปัญญาไม่เกิด ทำให้ตัวเองลำบาก และยังพาให้คนอื่นชักชวนคนอื่นไปลำบากด้วย ใส่ข้อมูลไปทุกวันๆ ”
พระธรรมเสนานุวัตร เทศน์ต่อว่า ยังดีว่า ที่คนไทยตั้งแต่จังหวัดชุมพรขึ้นมาเขานับถือ ศาสนาพุทธ เหตุการณ์ยิงพระในภาคใต้ หรือเพราะมีคนพยายามจะเอาพระไปเป็นฐานอำนาจ เพราะเอาไปพระยุ่ง
ประวัติ พระธรรมเสนานุวัตร (บำรุง ฐานุตฺตโร มากก้อน )
เกิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2480 ณ บ้านหมู่ที่ 3 ตำบลมะขามสูง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
- บรรพชาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2495 ณ วันกระมังคลาราม ตำบลหอกลอง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก
- อุปสมบทเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2500 ณ พัทธสีมาวัดกระบังมังคลาราม โดยมีพระพิศาลธรรมภาณี เป็นอุปัชฌาย์
- พ.ศ. 2517 เป็นเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก
- พ.ศ. 2518 เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก
- พ.ศ. 2518 สอบไล่ได้เปรียญธรรม 7 ประโยค สำนักเรียนวัดทองนพคุณ กรุงเทพฯ
- พ.ศ. 2530 เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก
- พ.ศ. 2531 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก
- พ.ศ. 2532 เป็นพระอุปัชฌาย์วิสามัญ
- พ.ศ. 2533 เป็นรองเจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
- พ.ศ. 2534 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
- พ.ศ. 2541 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองเจ้าคณะภาค 5 จนถึงปัจจุบัน
สมณศักดิ์
- พ.ศ. 2521 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ "พระศรีรัตนมุนี"
- พ.ศ. 2535 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ "พระราชรัตนมุนี"
- พ.ศ. 2542 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ "พระเทพรัตนกวี"
- พ.ศ. 2548 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ "พระธรรมเสนานุวัตร"