xs
xsm
sm
md
lg

“คำนูณ” แฉ “ฮุนเซนโมเดล” แผนคืนสู่อำนาจ “นช.แม้ว”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คำนูณ สิทธิสมาน
“ส.ว.คำนูณ” อภิปรายนอกสภา ชำแหละ “ฮุนเซนโมเดล” ที่ “นช.ทักษิณ” กำลังเดินตาม ระบุนักโทษคดีดึงกำลังต่างชาติมาสนับสนุนตัวเอง ก่อนขึ้นคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ระดับผู้นำไทยไปขอพึ่งบารมีผู้นำกัมพูชา จับตา “แม้ว” ตั้งฐานที่มั่นในเขมร ก่อนปลุกม็อบยึดทำเนียบ แล้วจัดมวลชนเดินเท้าเข้าสมทบ พร้อมประสานเกมใต้ดินอดีตทหารแก่บางคน

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายคำนูณ สิทธิสมาน อภิปราย

 
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ภาควิชาการ อภิปรายนอกสภา บนเวทีรวมพลังรักชาติของประชาชนทั่วประเทศ ณ ท้องสนามหลวง ช่วงเวลาประมาณ 19.30-20.20 น. วันที่ 15 พ.ย.2552

กราบเรียน พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพ....
ผม - นายคำนูณ สิทธิสมาน – ในฐานะประชาชนชาวไทยคนหนึ่ง ของใช้สิทธิอภิปรายนอกสภา....


วันนี้ ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของ 2 ชาติ ชาติกัมพูชา และชาติไทย ด้านหนึ่ง สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นผู้นำผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้ชาติกัมพูชา ขณะที่อีกด้านหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ก็เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้ชาติไทย ในด้านหลังนี้อาจจะรวมอดีตนายกรัฐมนตรีไทยอีก 2 คน คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ด้วย

นับจากสมัยสุโขทัยมาถึงบัดนี้กว่า 700 ปีมาแล้ว เพิ่งจะมีวันนี้แหละที่ชนชั้นนำของไทยช่วงชิงอำนาจกันเองแล้ว ต้องไปขอพึ่งบารมีผู้นำกัมพูชา ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะในยุคต้นรัตนโกสินทร์ มีแต่ผู้นำกัมพูชามาพึ่งบารมีผู้นำไทย

นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่เคยมีมาก่อน สำหรับประวัติศาสตร์กัมพูชาแล้ว สืบไปกาลเบื้องหน้า เหตุการณ์ครั้งนี้จะยิ่งใหญ่มาก เพราะเป็นการพลิกกลับหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ เป็นการประกาศศักดานุภาพผู้นำของเขา

หรือไม่ต้องย้อนไปไกลนัก แค่สัก 20 ปี รัฐไทยเคยหนุนกองกำลัง “เขมรแดง” ให้เป็นเสมือนรัฐกันชน Buffer State มาวันนี้ รัฐกัมพูชาในยุคสมเด็จฮุนเซนกำลังริเริ่มปฏิบัติการหนุนกองกำลัง “ไทยแดง” หรือ “สยามแดง”

แต่จะพัฒนาไปเป็นรัฐกันชน Buffer State หรือไม่ ยังไม่รู้

ทั้ง “ไทยแดง” และ “สยามแดง” ผมใช้เป็นสื่อสัญลักษณ์!

“ไทยแดง” มีความหมายอย่างกว้างเพียงคนที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ แต่ “สยามแดง” – ซึ่งเป็นชื่อกลุ่มที่ก่อตั้งโดยนายใจ อึ๊งภากรณ์ – จะมีความ หมายแคบลงมา คือไม่เพียงสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น แต่มุ่งเปลี่ยนระบอบการปกครองเปลี่ยนรูปแบบสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย

ที่รู้แน่ๆ คือ สมเด็จฯ ฮุนเซนได้เครดิตในประเทศเขาอย่างมหาศาล มากกว่าผู้นำคนใดในรอบ 700 ปี หากมองในมุมนี้

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพ....

หัวใจหลักที่ผมจะขอใช้สิทธิอภิปรายนอกสภาในวันนี้คือ “ฮุนเซนโมเดล” หมายรวมถึง แนวทางการเข้าสู่อำนาจ, การหาประโยชน์จากอำนาจ, การต่อสู้เพื่อรักษาอำนาจ ในแบบของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีตลอดกาลของกัมพูชา ซึ่งอาจจะเป็นที่ปรารถนาใคร่จะลอกเลียนแบบของอดีตผู้นำไทยบางคน อดีตผู้นำไทยบางคนนั้นจะรวมถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรด้วยหรือไม่ พี่น้องต้องใช้วิจารณญาณตอบเอง

แต่ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้แล้วในวันนี้ คือ การต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจทางการเมืองกลับคืนมาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ยกระดับจากการก่อการภายในประเทศมาสู่การดึงเอาอำนาจนอกประเทศมาเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการต่อสู้แล้วโดยสมบูรณ์

สมบูรณ์กว่าเดิมที่ตั้งแต่เมื่อหลัง 19 กันยายน 2549 ได้เริ่มใช้ยุทธศาสตร์ “ชนบทล้อมเมือง โลกล้อมประเทศ” ควบคู่กันมาโดยตลอด

สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถืออยู่และขึ้นเครื่องบินนำไปแลกกับการจับมือสร้างปัญหาให้ประเทศไทยก็คือ สิ่งที่รู้จักกันในนาม “ทักษิโณมิกส์”

ภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ นักธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ มีสายตาแหลมคมในเรื่องการทำให้ตัวเองร่ำรวย สามารถใช้อำนาจรัฐอย่างแยบยล เล่นกับอำนาจและทรัพยากรเป็น แถมยังสามารถใช้นโยบายทางเศรษฐกิจสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนกลุ่มด้อยโอกาส - โดยเฉพาะในภาคอีสาน - ที่เป็นฐานใหญ่รองรับการขึ้นสู่อำนาจของนักการเมืองทุกยุคทุกสมัย เพราะมีจำนวน ส.ส.มากที่สุด

ในยุคเรืองอำนาจ ผู้นำอาเซียนชาติอื่นๆ ก็จับจ้องอยู่ บางคนอาจจะชอบบางคนไม่ชอบ คำว่า “ทักษิโณมิกส์” ที่เราท่านคุ้นกันดีปรากฏเป็นครั้งแรกโดย นางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ในสุนทรพจน์งานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) เมื่อปี 2546 นัยว่าเพื่อยกย่องให้เกียรตินายกฯไทย

แต่คำยกย่องในงานเลี้ยง กับความเป็นจริงที่คนไทยสัมผัสแตกต่างกัน

มีนักวิชาการหลายท่านแจกแจงลักษณะของ “ทักษิโณมิกส์” ได้ลุ่มลึกชัดเจน แต่ขออ้างคำอธิบายของนายคณิณ บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร.ผู้ทำคลอดรัฐธรรมนูญ 2540 เพราะวันนี้ท่านเป็นเสมือนหนึ่งในนักวิชาการสีแดง

นายคณิณ บุญสุวรรณ บอกว่า “ทักษิโณมิกส์” มีลักษณะ 10 ประการ โดยบัญญัติศัพท์เรียกว่า “ทศลักษณ์ทักษิโณมิกส์” ในหนังสือ “รัฐธรรมนูญตายแล้ว” ตีพิมพ์ในราวปี 2547 คำว่า “รัฐธรรมนูญตายแล้ว” ในความหมายนี้คือ “รัฐธรรมนูญ 2540 ตายแล้ว – ตายโดยการกระทำในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งผมจะไม่ขอนำมาอธิบายต่อทั้งหมด เกรงจะยาวเกินไป ขอเพียงยกที่สำคัญ ๆ เช่น 

- การบริหารประเทศไปด้วย ขยายอาณาจักรทางธุรกิจของครอบครัวและพวกพ้องของตนไปด้วย, 

- การใช้การตลาด การโฆษณาชวนเชื่อ และ... “เงิน” เป็นกลไกหลักในการบริหารประเทศ,

- การเล่นพรรคเล่นพวก การเลือกปฏิบัติ

- ไล่เรื่อยมาถึงประการสุดท้าย – ประการที่ 10 – คือ –

สร้างนวัตกรรมทางการเมืองใหม่ ภายใต้การกำกับดูแลของอาณาจักรทางธุรกิจ พยายามทำให้ตนเองและครอบครัวเป็นศูนย์กลางของระบอบ โดยทำพรรคการเมืองให้เป็นเหมือน “เปลือกหอยที่ห่อหุ้มอาณาจักรชิน” ใช้พรรคการเมืองเป็นเครื่องมือเข้ายึดครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ตัดตอนการตรวจสอบถ่วงดุล จากนั้น ใช้ครอบครัวและวงศ์วานว่านเครือเป็นศูนย์ กลางคอยใช้อำนาจและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน

ทั้งหมดผมไม่ได้ว่าเองนะครับ... เป็นนักวิชาการฝ่ายสีแดงในวันนี้ท่านว่าไว้ทั้งหมดในอดีต

“ทักษิโณมิกส์” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่ผูกผลประโยชน์ทางธุรกิจเข้ากับการบริหารประเทศสร้างความพึงใจให้กับสมเด็จฯ ฮุนเซนมาตั้งแต่ต้น เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรมีในสิ่งที่สมเด็จฯ ฮุนเซนไม่มี คือทักษะในการบริหารทุน โดยเฉพาะทุนเก็งกำไร ทักษะในการสร้างรัฐทุนนิยมสมัยใหม่

เหมือนกับที่อดีตสหายฝ่ายซ้ายไทยที่อกหักเปลี่ยนแปลงประเทศไม่สำเร็จในยุคสงครามเย็น เห็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแล้วตาลุกวาว เข้าไปร่วมเป็นมือเป็นเท้าเป็นสมองให้ เพราะมองว่าคนนี้แหละ – ใช่เลย - คนที่จะมาสานฝันของพวกเราให้เป็นจริงเสียที

เผอิญแผ่นดินทางตะวันออก รวมทั้งท้องทะเลอ่าวไทย อยู่ในสายตาแหลมคมของ พ.ต.ท.ทักษิณมาแล้ว การบริหารประเทศชั่วไม่กี่ปีจึงสร้างความพึงใจให้สมเด็จฯ ฮุนเซนหลายประการ

การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไหล่ทวีปที่ค้างคากันมานาน ตั้งแต่ปี 2515 – 2516 ที่กัมพูชาประกาศเส้นอาณาเขตทางทะเลเส้นหนึ่งเอาเปรียบไทยและขัดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ในปี 2515 ไทยไม่ยอมรับก็ประกาศอีกเส้นหนึ่งตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ตอบโต้ในปี 2516 พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งทราบดีอยู่ว่ามีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมหาศาลในอ่าวไทย ก็เดินทางไปเยือนกัมพูชาและเจรจาแบ่งผลประโยชน์กันสำเร็จ ในปีแรก – หรือไม่กี่เดือนแรก – ที่เข้าบริหารประเทศนี้ คือ เมื่อวันที่ 18-19 มิถุนายน 2544 เกิดสิ่งที่เรียกว่า “บันทึกความเข้าใจ 2544” หรือชื่อเต็ม “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน พ.ศ.2544”

แถมยังมีแถลงการณ์ร่วมผูกการเจรจาตามบันทึกความเข้าใจ 2544 นี้เข้ากับการเจรจาจัดทำหลักเขตแดนทางบกที่มีปัญหาเฉพาะด้วย เป็นผลให้มีการเร่งรัดเจรจา

โดยเฉพาะเขตแดนบริเวณรายรอบปราสาทพระวิหาร ที่กัมพูชายึดถือแผนที่อัตราส่วน 1 : 200,000 ที่คณะกรรมการปักกันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศสฝ่ายฝรั่งเศส กับนายทหารกัมพูชา ร่วมกันเดินสำรวจ และจัดทำขึ้นฝ่ายเดียวในค.ศ. 1908 อันเป็นต้นเหตุให้ไทยเสียปราสาทพระวิหารในศาลโลกเมื่อปี 2505 และอาจจะเสียอีก 4.6 ตารางกิโลเมตรหรือมากกว่านั้นอีกในอนาคต

การยอมรับให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว ในปี 2551 ช่วงรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ทำให้ปัญหาซับซ้อนขึ้นอีก เพราะเงื่อนไขทุกประการจะต้องเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2553

ถ้าพี่น้องไม่คัดค้าน ถ้า ส.ว.กลุ่มพวกผมไม่คัดค้าน การถอนทหารไทยออกจากบริเวณนั้นก็คงเรียบร้อยไปแล้ว

แม้กระนั้น เราก็ยังเห็นท่าทีเสแสร้งสร้างภาพของกัมพูชา ถอนทหารออกจากบริเวณเขตแดนด้านปราสาทพระวิหาร

นอกจากนั้นยังการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อก่อสร้างถนนและสาธารณูปโภค

การช่วยให้เพื่อนบ้านที่ยากจนมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เป็นเรื่องดี เรื่องควรสนับสนุน เพราะจะขจัดปัญหาแรงงานอพยพในบ้านเราไปได้ นี่เป็นข้ออ้างที่ยากจะคัดค้านของพ.ต.ท.ทักษิณ แต่ปัญหาคือมีร่องรอยผลประ โยชน์ทางธุรกิจของอาณาจักรธุรกิจของเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ

เป็นที่ทราบชัดเจนว่า ก่อนที่ตระกูลชินวัตรจะขายชินคอร์ปให้กับเทมาเส็กเมื่อต้นปี 2549 พวกเขากำลังวางแผนจะย้ายธุรกิจสื่อสารไปสู่การพลังงานที่มีอนาคตกว่า เราจะเห็น พ.ต.ท.ทักษิณใช้ฐานภาพความเป็นผู้นำประเทศคบหาสมาคมกับผู้นำประเทศที่มีแหล่งน้ำมัน นักธุรกิจในบรรษัทน้ำมันข้ามชาติ เราเห็นการแปรรูป ปตท.เกิดขึ้นในช่วงต้นๆ เช่นกัน และเรายังเห็นร่องรอยความพยายามเข้าไปมีอิทธิพลเหนือกิจการทีพีไอผ่านปตท.และกระทรวงการคลังในช่วงต่อมา

ในปลายสมัย พ.ต.ท.ทักษิณแสดงความสนใจท้องทะเลอ่าวไทยทางด้านตะวันออก ถึงกับเคยไปพักที่เกาะช้าง ล่องเรือชมภูมิประเทศ สอดคล้องกับข่าวที่เขาติดต่อเขาเช่าเกาะกงเพื่อทำโครงการใหญ่ที่เกี่ยวกับธุรกิจพลังงานและเปโตรเคมี

และไม่แน่ – เกาะกงอาจจะเป็นฐานในการโจมตีรัฐบาลไทยเพื่อกลับมาสู่อำนาจอีกครั้ง

ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณจึงถูกมองว่า มีเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจของอาณาจักรชินคอร์ป ผูกพันอยู่อย่างแยกไม่ออก

จึงไม่น่าแปลกใจอะไรเลยที่สมเด็จฯ ฮุนเซน จะถือหาง พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเต็มตัว ดำเนินการในสิ่งที่บาดตา บาดใจ หยามน้ำหน้าประชาชนคนไทยถึงเพียงนี้

พี่น้องครับ...

มองลึกลงไปในความสัมพันธ์ จะพบว่ามี “การแลกเปลี่ยน” เพื่อชดเชยจุดอ่อนของแต่ละฝ่าย

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีอำนาจ มีแต่เงินกับแนวคิดเรื่องประโยชน์ธุรกิจ และกำลังสู้เพื่ออำนาจ

สมเด็จฮุนเซน มีอำนาจ แต่ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญในการบริหารทุนสมัยใหม่ เพราะเติบโตมากับปากกระบอกปืน มิหนำซ้ำผลประโยชน์ที่เคยคิดจะได้จากนโยบายต่างประเทศสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ถูกขัดขวางจากคนไทยและรัฐบาลปัจจุบัน

ประวัติศาตร์การเมืองจากของสังคมต่าง ๆ สอนเราว่า ลึกลงไปในความ สัมพันธ์ที่มีผลประโยชน์กับอำนาจเป็นตัวตั้งนั้น ก็คือ “การหลอกใช้” ซึ่งกันและกันนั่นเอง

ถามว่า สมเด็จฯ ฮุนเซนต้องการอะไร ที่จะเป็นประโยชน์ตอบแทน

- ต้องการให้เรายึดแผนที่ 1 : 200,000 ที่เขาผลักดันมาตลอดใช่ไหม และไทยเราก็ยอมรับชัดเจนเป็นครั้งแรกในทีโออาร์ปี 2546

- ต้องการให้เร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ไทยเสียเปรียบ เพื่อเร่งให้สัมปทานขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเดินหน้าเต็มรูป ใช่ไหม – และเราก็เร่งทำเอ็มโอยูให้ในปี 2544 และถ้าพ.ต.ท.ทักษิณไม่พ้นจากอำ นาจไปเมื่อ 19 กันยายน 2549 เสียก่อน ป่านนี้เขาอาจจะถึงฝั่งฝันแล้ว

- ต้องการการลงทุนเพิ่มขึ้นในธุรกิจทรัพยากร ซึ่งล้วนแล้วแต่มีคนในวงศ์ตระกูลผู้มีอำนาจในพนมเปญถือครองใช่ไหม

- ต้องการชดเชยจุดอ่อนของตนเองที่ไม่กล้าต่อสู้ปกป้องผลประโยชน์ของชาติกัมพูชากับเวียดนาม โดยสร้างเรื่องทะเลาะเป็นศัตรูกับประเทศไทยขึ้นมากลบ ใช่ไหม

ในประเด็นหลังนี้ พี่น้องควรทราบว่าสมเด็จฯ ฮุนเซนปากดีปากเก่งก็เฉพาะกับไทยเท่านั้น กับเวียดนามไม่กล้าหือ เพราะกองทัพเวียดนามหนุนเขาขึ้นสู่อำนาจ วันนี้แม้เวียดนามจะมีปัญหากับกัมพูชาเรื่องเขตแดน แม้จะมีประชาชนกัมพูชาผู้รักชาติทนไม่ได้ ถึงขนาดร่วมเดินขบวนกับนายสม รังสี ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ไปถอนหลักเขตแดน 6 หลักบริเวณจังหวัดสวายเรียง ในช่วงใกล้ๆ กับที่สมเด็จฯ ฮุนเซนมาพูดจาสามหาวที่หัวหิน และเวียดนามประท้วงอย่างรุนแรง แต่สมเด็จฮุนเซนก็ไม่กล้าหือ

ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณเอาเงินของตัวเองแท้ๆ ไปลงทุน แลกกับความคุ้มครองและตำแหน่งที่ปรึกษา ผมจะไม่วิจารณ์

แต่เมื่อย้อนดูประวัติแล้ว จะพบว่าคนคนนี้ก็เฉกเช่นนักธุรกิจผู้มั่งคั่งมากหลายที่... ไม่เคยควักกระเป๋าตัวเอง

พี่น้องต้องตั้งคำถามครับว่า ในบรรดาเงื่อนไขแลกเปลี่ยน สิ่งที่สมเด็จฯ ฮุนเซน ต้องการนั้นเป็นผลประโยชน์ของชาติไทยเราจำนวนเท่าไหร่

พี่น้องต้องแสวงหาความรู้ครับ การแลกเปลี่ยนของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับสมเด็จฯ ฮุนเซนครั้งนี้ ได้เอาผลประโยชน์ของชาติไทยในอนาคตไปเป็นเดิมพันด้วยหรือไม่ และอะไรบ้าง

ขออนุญาตฟันธงว่า ความสัมพันธ์เชิงแลกเปลี่ยน หรือเชิงหลอกใช้ซึ่งกันและกันระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับสมเด็จฯ ฮุนเซน ครั้งนี้....

ผู้ที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือ สมเด็จฯ ฮุนเซน

ผู้ที่ได้ประโยชน์รองลงมา คือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะแม้จะเสี่ยง แต่ฐานภาพของเขา ณ เวลานี้ก็คือไม่มีอะไรจะเสียมากกว่านี้อีกแล้ว

ขณะที่ฝ่ายที่เสียประโยชน์ที่สุดคือ ชาติไทย

สมเด็จฯ ฮุนเซน เป็นเสือเฒ่าที่ผ่านการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจ รักษาอำนาจ และการต่อรอง มายาวนาน

ถ้าจะเข้าใจสมเด็จฯ ฮุนเซน ต้องเข้าใจการเมืองของกัมพูชา ที่เดิมมีกษัตริย์ แม้จะเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ก็ยังมีระบอบกษัตริย์ภายใต้อารักขาฝรั่งเศสอยู่ นั่นก็คือเจ้าสีหนุ

สมเด็จฯ ฮุนเซนเกิดเมื่อ 2494 ตอนนั้นกัมพูชาได้เอกราชใหม่ๆ ช่วงหลังสงครามโลก ตอนที่เป็นเด็กอยู่ในช่วงที่เจ้าสีหนุเปิดศึกฟ้องร้องเขาพระวิหารกับไทย เขาเป็นคอมมิวนิสต์คนหนึ่ง จึงแตกฉานในทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์-ลัทธิเลนิน และความคิดเหมาเจ๋อตง สันทัดในยุทธศาสตร์ยุทธวิธีคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะระบบการจัดตั้ง ที่เขานำมาใช้กับพรรคการเมืองและการเลือก ตั้งในรูปแบบประชาธิปไตยวันนี้

ระบบสีหนุล่มสลายเพราะพรรคคอมมิวนิสต์ หรือเขมรแดง ภายใต้การนำของนายพอลพต เข้ายึดครองกัมพูชาระหว่างปี 2518 - 2522

สมเด็จฯ ฮุนเซน เดิมเป็นทหารชั้นผู้น้อยในสังกัดเขมรแดง แต่โลกคอมมิวนิสต์ขณะนั้นเกิดความแตกแยกระหว่างจีนกับรัสเซีย เวียดนามที่โดยปกติสนับสนุนเขมรแดง ตัดสัมพันธ์กับเขมรแดงที่นิยมจีน เหมือนกับที่เวียด นามและลาวตัดสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่นิยมจีนในช่วงเวลาเดียวกัน สมเด็จฯ ฮุนเซนและพรรคพวกจำนวนหนึ่งภายใต้การนำของนายเฮงสัมริน – ที่บัดนี้เป็นสมเด็จเหมือนกัน “สมเด็จอัครมหาปัญญาจักรีเฮง สัมริน” – เลือกยืนข้างเวียดนาม ต่อมาก็หนีไปอยู่กับเวียดนามยกเข้ามาไล่ตีเขมรแดงออกจากอำนาจไปเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.1978 หรือ พ.ศ.2521 และยึดครองอยู่ 13 ปีเศษ

สมเด็จฯ ฮุนเซนเริ่มต้นเข้าสู่อำนาจทางการเมืองเป็น รมว.ต่างประเทศ เมื่อปี2522 จวบจนบัดนี้ เขาอยู่ในอำนาจเป็นเวลา 30 ปีพอดี

เมื่อปี 2535 เวียดนามถอนตัวออกจากกัมพูชา สหประชาชาติจัดการเลือก ตั้งซึ่งมีกลุ่มและฝ่ายต่างๆ กลับเข้ามาสู่สนามการเมือง

พรรคประชาชนกัมพูชา CPP แพ้พรรคฟุนซินเปคของเจ้านโรดมรณฤทธิ์ โอรสของเจ้าสีหนุ แต่สมเด็จฮุนเซนก็ยังได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 เพราะประกาศว่าหากไม่ให้อำนาจเขา ประเทศก็จะกลับเข้าสู่สงคราม เนื่องเพราะเขามีกองกำลังทหารเข้มแข็งที่สุด

พูดง่ายๆ ว่าเอาสันติภาพของประเทศเป็นตัวประกัน!

เหมือนใครครับพี่น้อง....

ประเทศกัมพูชาในยุคนั้นจึงมีกษัตริย์เป็นประมุข และลูกชายกษัตริย์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 ส่วนสมเด็จฮุนเซนเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2

จากนั้น สมเด็จฯ ฮุนเซนก็ใช้ยุทธวิธีหลากหลายรูปแบบสลายพรรคฟุนซินเป็ก ทั้งเงิน ทั้งอิทธิพล ส.ส.พรรคฟุนซินเป็คย้ายพรรคมา CPP ไม่น้อย

เจ้ารณฤทธิ์ ต้องการคานอำนาจทหารสายนิยมเวียดนาม จึงคิดจะดึงกองกำลังเขมรแดงกลับเข้ามาในกองทัพ จึงถูกสมเด็จฮุนเซนรัฐประหารเมื่อปี 2540 มีคนตาย 54 คน บาดเจ็บนับร้อย เจ้ารณฤทธิ์หนีไปต่างประเทศ

สมเด็จฯ ฮุนเซนผงาดเป็นผู้นำหนึ่งเดียวที่มีอำนาจมากที่สุดตั้งแต่บัดนั้น เพราะหลังจากนั้นอีก 1 ปีมีการเลือกตั้งรอบใหม่ เขาชนะอย่างถล่มทลาย

เป็นนายกรัฐมนตรีหนึ่งเดียวมาตั้งแต่ปี 2541 ถึงปัจจุบัน

ในช่วงแรก เขาขอให้เจ้าสีหนุสถาปนาเป็นสมเด็จฯ ฮุนเซนเฉยๆ แต่ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงประมุขเป็นเจ้าสีหมุนี ที่อ่อนชั้นอ่อนเชิงกว่ามากนัก เขาจึงได้รับการสถาปนาเป็น “สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน” เมื่อตุลาคม 2550

คุณไพศาล พืชมงคล เจ้าของนามปากกา “เรืองวิทยาคม” ผู้เขียน “สามก๊ก : ฉบับคนขายชาติ” เปรียบเทียบว่า ความสัมพันธ์ของระบอบกษัตริย์กัมพู ชา กับสมเด็จฮุนเซน ก็คล้ายๆ พระเจ้าเหี้ยนเต้ กับโจโฉ ในสามก๊ก

โจโฉต้องการอะไร พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ให้หมด เป็นพระเจ้าแผ่นดินแต่ในนาม พระราชอำนาจไม่มีแม้แต่น้อย

กษัตริย์สีหมุนีแตกต่างกับกษัตริย์สีหนุโดยสิ้นเชิง

สมเด็จฯ ฮุนเซนไม่ผิด เพราะสมาทานลัทธิคอมมิวนิสต์มาแต่ต้น ไม่ได้จงรัก ภักดี หรือเห็นความสำคัญของสถาบันกษัตริย์อยู่แล้ว แต่เลือกที่จะไม่โค่นล้มในทันทีแล้วตั้งตนเองเป็นประธานาธิบดี หันมาใช้ยุทธวิธีเลือกเชื้อพระวงศ์ที่ไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวงขึ้นมาเป็นกษัตริย์ แล้วอวยยศให้ตนเป็นเจ้า

การที่ สมด็จฯ ฮุนเซน เลือกที่ให้เจ้าสีหมุนีทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของกัมพูชา เขาทำไปเพื่ออะไร และ พ.ต.ท.ทักษิณยินยอมเป็น “ข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย” โดยฝ่าฝืนขนบธรรมเนียมประเพณีที่ตนเองในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีไทยรู้ดี เพื่ออะไร และถือเป็นการปฏิบัติตนที่แสดงออกถึงความจงรักภักดีเพียงพอแล้วหรือไม่ พี่น้องต้องใคร่ครวญให้ดี

ต้องเข้าใจนะครับว่า แม้แต่กษัตริย์สีหนุ ที่ไม่ชอบเมืองไทยเช่นกัน ก็ไม่เห็นด้วยที่สมเด็จฯ ฮุนเซนมาแทรกแซงกิจการภายในของไทยเช่นนี้

พี่น้องครับ....

ผมเล่าเรื่องของกัมพูชาโดยสังเขปเพื่อจะบอกว่า นี่แหละคือ ฮุนเซนโมเดล

ใช้กองกำลังต่างชาติสนับสนุน
สนับสนุนเชื้อพระวงศ์ที่ไม่พร้อมให้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์
ให้กษัตริย์ใหม่สถาปนาตนเป็นเจ้า
ใช้ระบบจัดตั้งแบบคอมมิวนิสต์คุมพรรค คุมประชาชน เพื่อรักษาอำ นาจไว้ตลอดกาลภายใต้รูปแบบประชาธิปไตยตะวันตก – การเลือกตั้ง 
- เนื้อแท้ของระบอบคือเผด็จการรวมศูนย์อำนาจการเมือง-เศรษฐกิจ และเปิดประเทศจับมือกับกลุ่มทุนตะวันตกให้เข้ามาแสวงประโยชน์จากทรัพยากรของชาติในทุกรูปแบบ

พี่น้องครับ...

การเล่นไพ่ทักษิณครั้งนี้ สมเด็จฯ ฮุนเซนได้มากที่สุด

หนึ่ง เสริมบารมีของผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาเซียน มองประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ย้อนลงไปตั้งแต่ครั้งสุโขทัย อยุธยา เรื่อยมาถึงรัตนโกสินทร์ ประวัติศาสตร์ของรัฐชาติในแถบนี้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ชิงอำนาจมาโดยตลอด น่าสนใจที่สุดว่า เวลารัฐชาติใดมีปัญหาการแย่งชิงกันภายในมักจะมาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์ไทยตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา ลาว ญวน หรือแม้กระทั่งล้านนา ไม่มีเคยมีประวัติศาสตร์บันทึกว่า เวลาเจ้านายของไทย ทั้งอยุธยา หรือรัตนโกสินทร์ เมื่อมีปัญหาแล้ว จะไปขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์กัมพูชา

นี่เป็นข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์นะครับ ผมไม่ได้ปลุกความฮึกเหิมให้พี่น้องเข้าใจว่าเรายิ่งใหญ่จนกลายเป็นความรู้ สึกดูถูกเพื่อนบ้านว่าด้อยกว่า

ผมพูดในตอนต้นแล้วว่านี่เป็นครั้งแรกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำหรับประ วัติศาสตร์กัมพูชาแล้ว สืบไปกาลเบื้องหน้า เรื่องนี้จะยิ่งใหญ่มาก เพราะเป็นการพลิกกลับหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ เป็นการประกาศศักดานุภาพผู้นำของเขา ซึ่งจะแปรเป็นคะแนนเสียงคะแนนนิยมมหาศาล

ขอพูดในตอนนี้ว่า สำหรับประวัติศาสตร์ไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรก็จะได้รับเกียรติบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์เช่นกัน

แต่จะบันทึกอย่างไร ในฐานะอะไร ขึ้นอยู่กับพี่น้องครับ....

สอง เรื่องผลประโยชน์ระหว่างประเทศ ไทย-กัมพูชา ที่สมเด็จฮุนเซนมองว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวขัดขวางประโยชน์ของเขา การเลือกข้างประกาศตนเป็นศัตรูกับนายกรัฐมนตรีไทยเพราะเล็งผลลัพธ์ว่า อีกไม่นานกลุ่มการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับคืนสู่อำนาจแน่นอน ดังนั้นเรื่องที่ค้างคา หรือที่อาจจะถูกยกเลิกไป ทั้งเอ็มโอยู ทั้งเรื่องเงินกู้ ก็จะได้กลับคืนมาแน่นอน ทั้งยังได้น้ำใจ และบุญคุณ เพิ่มเป็นดอกเบี้ยด้วย

สาม ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจแบบทักษิโณมิกส์ ที่จะนำไปใช้ในกัมพูชา จะได้มัดใจชาวรากหญ้าให้แน่นแฟ้นขึ้นไปอีก เพื่อรับมือกับแนวคิดชาตินิยมกัมพูชาที่ไม่ยอมให้เวียดนามเอาเปรียบมากเกิน ไปของนายสม รังสีที่เริ่มก่อตัวขึ้นในหมู่ชนชั้นกลางในเมือง เติบโตขึ้นมาได้

สี่ ต่อเนื่องจากข้อสาม คือเป็นการลบปมด้อยที่หงอกับเวียดนาม และหากเกิดสถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้นทางชายแดนไทย ในอนาคตอาจเป็นช่องให้กองทัพเวียดนามเข้ามาช่วยเหลืออีกครั้ง

ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณนั้นถือว่า เป็นคนที่ไม่มีอะไรจะเสียมากกว่านี้อีกแล้ว จึงจะยอมเป็นหมาก ยอมเป็นเบี้ย แลกกับการใช้ดินแดนกัมพูชาเป็นฐานคืนสู่อำนาจในไทย แม้จะต้องจ่ายค่าตอบแทนมากพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องบุญคุณต่างตอบแทนในเชิงอำนาจ

อันที่จริง พ.ต.ท.ทักษิณแทบไม่มีหลักประกันใดเลยที่จะไม่ถูกหักหลัง

สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้อย่างเต็มที่สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้คือ เปิดช่องทางที่เป็นกลยุทธ์การต่อสู้ชิงอำนาจคืนมากขึ้นในช่วงธันวาคม 2552 – ต้นปี 2553 นี้ ที่เกมในสภาจะลดระดับลงเพราะมีสมัยประชุมนิติบัญญัติจะปิดลงในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้

เป็นไปได้ไหมว่า.....

- พ.ต.ท.ทักษิณจะมีฐานที่มั่นบัญชาการในกัมพูชา เหมือนเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2552 ที่สำนักข่าวต่างประเทศเปิดเผยแล้วว่าเขาอยู่ที่นั่น 
- พลพรรคจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนอย่างเอิกเกริก
- การชุมนุมมวลชนในประเทศจะรุกหนัก ล้อมทำเนียบ หรืออาจถึงขั้นยึดทำเนียบ
- อาจปัดฝุ่นแนวคิด “เดินทัพทางไกล” หรือ “ลองมาร์ช” ให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้ามาจากกัมพูชา มีมวลชนจัดตั้งจำนวนมากไปห้อมล้อมและพากันเดินทางเข้ากรุง ประสานกับปฏิบัติการมวลชนที่ทำเนียบ และทั่วประเทศ
- อาจประสานกับยุทธวิธีใต้ดิน นอกระบบ ของอดีตนายทหารบางคนที่ขึ้นชื่อลือชาทางด้านนี้ที่หันไปสวามิภักดิ์


หวังผลขั้นแรกคือ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยุบสภา พรรคการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณได้รับเลือกด้วยเสียงข้างมากเกินครึ่ง นิรโทษกรรมทุกฝ่าย นำประเทศกลับไปสู่ช่วงก่อน 19 กันยายน 2549

หากไม่เป็นผล หรือสถานการณ์เอื้ออำนวย อาจถึงขั้นปฏิวัติประชาชน

พี่น้องครับ – ผมไม่ได้จินตนาการเอาเอง แต่นี่คือร่องรอยที่สัมผัสได้จากการพูดโดยเปิดเผยของคนที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณเอง หรือบางกรณีจากการให้สัมภาษณ์ของพ.ต.ท.ทักษิณเอง

“ลองมาร์ช – เดินทัพทางไกล” นอกจากจะเป็นเอกลักษณ์และตำนานการต่อสู้ของประธานเหมาเจ๋อตงและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่กองทัพแดงเดิน ทัพด้วยเท้า 25,000 ลี้ในช่วง 2 ปีระหว่าง ค.ศ.1934-1936 แล้ว ล่าสุดยังมีกรณีของนายมานูเอล เซเลยา ประธานาธิบดีฮอนดูรัสผู้ถูกรัฐประหาร ที่เดินทางจากชายแดนนิคารากัวพร้อมคาราวานผู้สนับสนุนกลับประเทศประสบความสำเร็จมาแล้วเมื่อสองสามเดือนมานี้

พี่น้องครับ – แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต

ผมเชื่อในคำของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ว่าบ้านเมืองเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ผมเชื่อในบารมีพระแก้วมรกต ผมเชื่อในบารมีเจ้าพ่อหลักเมือง ผมเชื่อในกฎแห่งกรรม

ผมเชื่อในตัวพี่น้องทั้งหลายที่จะใช้วิจารณญาณไตร่ตรองและตัดสิน ใจทำหน้าที่ของตนเอง

ผมอยากจะจบด้วยสิ่งที่เป็นมงคลกับพวกเรา ในฐานะที่เป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน และเป็นพลังของแผ่นดิน ผมขออัญเชิญบางส่วนของเพลงพระราชนิพนธ์ “เราสู้” ที่ทรงประพันธ์ไว้ในช่วงที่เรากำลังเผชิญภัยคอมมิว นิสต์ ว่าการรักษาชาติบ้านเมืองเป็น “หน้าที่” ของคนไทยทุกคนที่ต้องรักษาสืบไป

การที่เราออกมาในวันนี้เป็นการทำหน้าที่ต่อบ้านเมืองครับ

...บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา....หน้าที่เรารักษาสืบไป....


เราทุกคนกำลังทำหน้าที่ของพสกนิกรแห่งพระองค์ท่านอยู่

นี่เป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของคนไทยทุกคน




กำลังโหลดความคิดเห็น