โฆษกหัวหน้า ปชป.เชื่อ “แม้ว” ใช้เขมรเป็นฐาน หวังล้มรัฐบาลก่อนสิ้นปี เหน็บ ส.ส.เพื่อไทยยก “ฮุนเซน” เป็นหัวหน้าคนที่ 2 น่าทำเหรียญ 2 สมเด็จคู่ “นช.แม้ว” ไว้ห้อยคอ ระบุถอนทหารแค่สร้างภาพให้ “ทักษิณ” เป็นพระเอก ซัด “จตุพร” ปกป้องเขมร ใส่ร้ายประเทศตัวเอง ไม่ควรเกิดเป็นคนไทย ประณาม ส.ส.เพื่อไทยอัปยศไปเขมรจนสภาล่ม
ที่พรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ (14 พ.ย.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจากประเทศไทยเดินทางไปกัมพูชาเพื่อรับตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรับฐบาลกัมพูชาว่า ตนคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีท่าทีจะมาใช้ประเทศกัมพูชาเป็นฐานในการปฏิบัติการทางการเมืองเพื่อล้มรัฐบาลนี้ให้ได้ โดยตั้งระยะเวลาไว้ก่อนสิ้นปีนี้ตามที่เคยเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้ แต่เชื่อว่าประเทศเพื่อบ้านทั้งลาว เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในกลุ่มอาเซียนก็คงไม่ต้อนรับนักโทษชายที่หลบหนีคดี มีเพียงประเทศกัมพูชาเท่านั้นที่รับและยินดีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ บินเข้าออกประเทศได้ เพื่อใช้กัมพูชาเป็นฐานในการประสานงานกับแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะได้บินไปมาสะดวกยิ่งขึ้นกว่าอยู่ที่ดูไบ
โฆษกประจำตัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยกว่า 70 คน เหมารถเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งสมเด็จฯ ฮุนเซน เป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงให้ บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น แต่เป็นความเจ็บปวดของประชาชนคยไทยทั้งชาติ ที่เห็น ส.ส.ของประเทศไทยไปร่วมงานดังกล่าว และซูฮกให้สมเด็จฯ ฮุนเซน โดยยกฐานะเสมือนเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทยอีกคนหนึ่ง ทั้งนี้ ตนได้รับเหรียญที่ระลึกจากคนเสื้อแดงที่หวังดีต่อประเทศชาติส่งมาให้ตน ซึ่งเข้าใจว่าคงเป็นเหรียญที่ให้คนเสื้อแดงเอาไว้คล้องคอ โดยด้านหน้าเป็นภาพของพ.ต.ท.ทักษิณทำสัญลักษณ์มือว่าฉันรักเธอ ด้านล้างเขียนว่า “รวมพลังประชาธิปไตย 2552” ด้านหลังเขียนว่า “ประเทศไทย เพื่อประชาธิปไตย ชมรมคนรักทักษิณ 2552” ซึ่งตนเห็นว่าภาพด้านหน้ามี พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ภาพด้านหลังที่ยังว่างก็ควรเอาภาพสมเด็จฯ ฮุนเซน และตั้งชื่อเป็นเหรียญ 2 สมเด็จ คือ สมเด็จฯ ฮุนเซน และสมเด็จทักษิณ เอาไว้แข่งกับสมเด็จวัดระฆัง
สำหรับการประกาศถอนทหารกัมพูชาออกจากบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณเขาพระวิหาร หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณไปเยือนกัมพูชานั้น นายเทพไท กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าเป็นการแสดงละครของสมเด็จฯ ฮุนเซนที่ต้องการสร้างภาพให้เห็นว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณมากัมพูชาแล้ว สามารถสร้างการยอมรับและทำให้สมเด็จฯ ฮุนเซน เชื่อฝีมือจึงถอนทหารออกได้ ทั้งที่ข้อเท็จจริงเหตุการณ์บริเวณชายแดนยังเป็นปกติ โดยไม่มีเหตุขัดแย้งรุนแรงใดๆ มีการติดต่อซื้อชายสินค้าตามปกติ การถอนทหารเพียงเป็นการสร้างภาพให้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นพระเอกเท่านั้นเอง
ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.ออกมาปกป้องรัฐบาลกัมพูชาและกล่าวหารัฐบาลไทยและประเทศไทยว่าไปหาเรื่องประเทศเพื่อนบ้าน จนเลขานุการเอกของสถานฑูตไทยในกัมพูชาถูกขับไล่ เพราะไปล้วงความลับให้กับรัฐบาลไทยนั้น ตนคิดว่าคนทั่วโลกต่างไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริง เพียงแต่สมเด็จฯ ฮุนเซนต้องการสร้างภาพ ปั้นเรื่องสร้างสถานการณ์เห็นว่ารัฐบาลกัมพูชามีความชอบธรรมที่จะดำเนินการต่อรัฐบาลไทย แม้กระทั่งล่าสุดสมเด็จฯ ฮุนเซนใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ในการประกาศว่า ทางกัมพูชาได้จับเจ้าหน้าที่ของศูนย์รักษาความปลอดภัยของชาติ (ศรภ.) ของไทยได้อีก 1 คน ที่ไปสอดแนมในโรงแรมที่พ.ต.ท.ทักษิณเข้าพักในกรุงพนมเปญ ยืนยันว่าทั้งหมดเป็นการสร้างภาพ สร้างสถานการณ์เพื่อให้สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของรัฐบาลกัมพูชาที่มีต่อรัฐบาลไทย เป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นคนไทยด้วยกันมีพฤติกรรมช่วยเหลือรัฐบาลกัพูชา เสียชาติเกิดที่เกิดมาเป็นคนไทย ไม่ปกป้องประเทศไทยแล้วกลับใส่ร้ายประเทศไทยอีก
โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส และหนึ่งในคนไทยอีกหลายๆ ฝ่ายที่เป็นห่วงประเทศไทย ได้กล่าวเตือนรัฐบาลว่าอย่าหลงกลกัมพูชา โดยใช้ความรุนแรงตอบโต้นั้น รัฐบาลขอขอบคุณและยืนยันว่ารัฐบาลพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง เห็นได้จากการให้สัมภาษณ์ของนายกฯ และการปฏิบัติทางการทูตของประเทศไทยได้ใช้วิธีการประนีประนอม โดยอยู่ในกรอบของกฎหมายและตามหลักสากลปฏิบัติ จึงเชื่อว่าจะไม่หลงกลใช้ความรุนแรงตามที่บางฝ่ายต้องการอย่างแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ออกมาเปิดเผยว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เป็นผู้ไปขอร้องสมเด็จฯ ฮุนเซน ให้ถอนทหารกัมพูชาออกจากบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นายเทพไท กล่าวว่า ถ้าเป็นเรื่องจริงตามที่ พล.อ.พัลลภพูด ก็แสดงว่า พล.อ.ชวลิตได้สมคบกับสมเด็จฯ ฮุนเซน ในการสร้างภาพให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น ข้อเท็จจริงทั้งหมดก็ปรากฏชัดว่า พล.อ.ชวลิตก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชามีความขัดแย้งมากขึ้น เพราะเรื่องนี้ฝ่ายไทยได้ประเมินแล้วว่าจะต้องออกมาในรูปการนี้ เพื่อจะสร้างเครดิตให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณโดยอ้างเรื่องพรมแดน และความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ แต่ความขัดแย้งของ 2 ชาตินี้ไม่ได้อยู่ที่การถอนทหาร แต่ขึ้นอยู่กับท่าทีของรัฐบาลกัมพูชา ที่จะปฏิบัติต่อประเทศไทย ถ้ารัฐบาลกัมพูชายังละเมิดข้อกฎหมาย สิทธิ และแทรกแซงกิจการภายในของไทย ความขัดแย้งก็ไม่จบสิ้น แม้ว่าคุณจะถอนทหารออกจากชายแดนจนไม่เหลือสักคนก็ตาม เพราะรัฐบาลไทยยืนยันแล้วว่า แม้ว่าคุณจะไม่มีทหารอยู่รอยต่อชายแดนเราก็จะไม่รุกล้ำเขตแดนของคุณ ดังนั้น เรื่องทหารจะถอนหรือไม่ถอนไม่มีความหมายสำหรับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
เมื่อถามว่า พล.อ.พัลลภ ขอร้องว่า อย่าเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น นายเทพไท กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่สังคมรับรู้กันอยู่แล้ว ว่าสิ่งที่พรรคเพื่อไทย พล.อ.ชวลิต และ พ.ต.ท.ทักษิณทำในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องใส่ความ เพราะเราระมัดระวังทุกเรื่องในการดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้เป็นข้ออ้างในการหยิบเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขเพื่อขยายปมความรุนแรง แต่ก็ยังมีความพยายามสร้างข่าวบิดเบือนข้อมูล ข้อเท็จจริง แม้กระทั่งล่าสุด ที่อ้างว่ามีการจับเจ้าหน้าที่ ศรภ.ในกัมพูชา ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นการโยนความผิดมาให้รัฐบาลไทยว่า มีการส่งสายลับไปหาข่าว สืบราชการลับ และแทรกแซงกิจการภายในของกัมพูชา เมื่อถามย้ำว่า ทางกัมพูชายืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ศรภ.ของไทย นายเทพไทกล่าวว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย และขึ้นศาล แต่ไม่ใช่มาพิพากษาเอง หรือมาชี้เองว่ามีความผิดอย่างนั้น อย่างนี้
จวก ส.ส. “เพื่อแม้ว” ไปเขมรเป็นความอัปยศรัฐสภาไทย
นายเทพไทกล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคนได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่กัมพูชาว่า นับเป็นความอัปยศของรัฐสภาไทยอีกครั้ง และส่วนตัวคิดว่าเป็นการสร้างความเสียใจให้กับ ส.ส.จำนวนหนึ่ง และชาวไทยทั้งประเทศ เพราะต้องยอมรับว่าเหตุสภาล่มเมื่อวันที่ 13 พ.ย.นั้น เป็นเรื่องที่สุดวิสัยที่ฝ่ายรัฐบาลจะควบคุมและป้องกันได้ เพราะเป็นการประชุมร่วม 2 สภา 3 ฝ่าย คือ วุฒิสภา ส.ส.รัฐบาล และ ส.ส.ฝ่ายค้าน ซึ่งมีจำนวนองค์ประชุมทั้งสิ้น 624 เสียง เสียงกึ่งหนึ่งต้องเกิน 312 เสียง ลำพังเสียงของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลทั้งหมดมีอยู่ทั้งสิ้น 247 เสียง แม้จะมาครบทุกคนก็ไม่สามารถทำให้ครบองค์ประชุมได้ เพราะเสียงไม่เกินกึ่งหนึ่ง เราไม่ปฏิเสธว่าองค์ประชุมต้องเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายรัฐบาล แต่หน้าที่การเข้าร่วมประชุมต้องเป็นหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาทุกคน คือ วุฒิสภา ส.ส.รัฐบาล และ ส.ส.ฝ่ายค้าน หากเป็นการประชุมสภาฯ ตนคิดว่ารัฐบาลสามารถควบคุม และดูแลให้ครบองค์ประชุมได้ แต่เมื่อเป็นการประชุมร่วม มี ส.ว.เข้าร่วมแค่ 50 กว่าคน ซึ่งหากมได้รับความร่วมมือจาก ส.ว. และฝ่ายค้าน องค์ประชุมก็ไม่ครบอย่างแน่นอน ตนขอเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาทุกคนช่วยกันปกป้องรักษาภาพพจน์ของสภาไม่ให้ตกต่ำไปกว่านี้ โดยการทำหน้าที่ จึงขอให้เป็นครั้งสุดท้ายที่องค์ประขุมสภาล่มในการประชุมครั้งนี้ และไม่อยากให้โทษใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ให้ทุกคนโทษตัวเอง และรับผิดชอบตัวเอง