“พิภพ” วอนเสื้อแดง คำนึงถึงผลประโยชน์ชาติ ร่วมแสดงพลัง 15 พ.ย. นี้ ระบุ“มาร์ค” รู้สัญญาทำไทยเสียเปรียบดี แต่บู่มบ่ามไม่ได้ หวัง ปชช. ออกหน้า แล้วถือโอกาสลงดาบซ้ำ แนะ รบ.หนุนองค์กรสิทธิมนุษย์ชน แสดงบทบาทเหมือนพม่า ขณะที่ “ดร.กิตติศักดิ์” ระบุ “ฮุนเซน”ไม่ส่ง “นช.แม้ว” มีสิทธิทำได้ แต่ผิดมารยาททางการทูต เผยเหตุ “น.ช.แม้ว” รับเป็นที่ปรึกษา หวัง ปชช. เห็นคุณค่าฮือ รับกลับบ้าน พร้อมติง ต้านแพร่ข่าวหมิ่น อาจกลายเป็นโทษต่อสถาบัน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “คนในข่าว”
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-22.00 น. วันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 โดยมีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมพูดคุยถึง มูลเหตุจูงใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซบเขมร รับเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ
นายพิภพ กล่าวว่าการที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นเจ้าภาพเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุม ในวันที่ 15 พ.ย.นี้ ไม่ใช้เป็นการชุมนุมใหญ่ ไม่ได้เป็นการคลั่งชาติ ไม่ใช่การแสดงความเกลียดชังระหว่างไทย กับเขมร แต่ทำในฐานะที่เป็นผู้ริเริ่ม ก่อให้เกิดขบวนการรักชาติ โดยเห็นว่า สถานการณ์ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา ที่กำลังระอุในขณะนี้ มีความเหมาะสมที่จะต้องเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงขอเชิญชวน ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกสี ที่มีหัวใจรักชาติ กษัตริย์ ออกมาร่วมมือกันรักชาติ ปกป้องศักดิ์ศรีประเทศ ด้วยการแสดงพลัง ตอบโต้กัมพูชา และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธด้วย ดังนั้นกลุ่มคนเสื้อแดง จะต้องทิ้งความเห็นที่ไม่ตรงกัน โดยขอให้คำนึงถึง ผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับสถาบันด้วย ถึงเวลาแล้วที่จะได้แสดงออก ถึงความถูกต้อง รักชาติ
ทั้งนี้โดยส่วนตัวแล้วเห็น ว่า แถลงการณ์ประณามอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน การแสดงออกอย่างสงบ สันติ เอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นตัวตั้ง เป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อให้ชาวโลกได้เห็น ว่า นักการเมืองแบบ ฮุนเซน และพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักธุรกิจการเมือง เอาผลประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง สังเกตุได้จากท่าทีของรัฐบาลประเทศกัมพูชา ที่หงอต่อ ประเทศเวียดนาม โดยยอมให้ เวียดนาม รุกล้ำดินแดน แต่กลับมาก้าวร้าวกับประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า ชนิดที่ว่าหากสู้รบกัน กัมพูชาไม่มีทางชนะไทยได้เลย ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ที่ทำไปทุกอย่าง เพื่อผลประโยชน์ในทรัพย์ยากรธรรมชาติ ทางทะเล
“ในทางประวัติศาสตร์ เมื่อไทยมีความอ่อนแอทางการเมือง ผู้นำประเทศกัมพูชา มักจะเข้ามาแทรกแซงในทุกครั้ง คราวนี้อาจเป็นไปได้ว่า ฮุนเซน ใช้สันชาติญานทางการเมือง ฉวยโอกาสนี้โดยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง และมั่นใจว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะอ่อนแอลง จึงเป็นสาเหตุทำให้ ฮุนเซน แสดงปฎิกริยาไม่แคร์สายตารัฐบาลไทย อย่างที่เป็นอยู่” นายพิภพ กล่าว
นายพิภพ กล่าวว่ารัฐบาลยังใช้สื่อ เป็นเครื่องมือได้ไม่เต็มที่ ในการสร้างความเข้าใจต่อประชาชน อย่าง คดียุบพรรคไทยรักไทย ต้องแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช้ความผิดอาญา แต่เป็นความผิดทางการเมือง อีกอย่างรัฐบาลต้องเลิกใช้คนระดับโฆษก มาตอบโต้ด้วยการพูดจาส่อเสียด ต้องทำให้เป็นกิจลักษณะ สมเหตุเป็นผล ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปเป็นที่ปรึกษาของ ฮุนเซน รัฐบาลต้องอธิบายต่อสังคมโลก ให้เห็นว่า การกระทำของ ฮุนเซน ละเมิดสิทธิมนุษย์ชน หากรัฐบาลไม่อยากลงมือทำเอง ก็ให้ องค์กรด้านสิทธิมนุษย์ชน รณรงค์เรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ อย่างองค์กรสิทธิมนุษย์ชน ในประเทศพม่า ก็ได้
มีคนถามว่า ทำไมพันธมิตรฯไม่ไปแสดงออก ที่สถานทูตกัมพูชา นายพิภพ กล่าวว่าตนวิเคราะห์แล้ว เห็นว่า อารมณ์ความรู้สึกของคนที่เข้าร่วม มีจำนวนมาก ไม่อยากให้เกิดการคลั่งชาติ จนกลายเป็นประเด็น นำไปสู่ความเกลียดชัง ระหว่างประชาชนไทยกับประชาชนกัมพูชา การเคลื่อนขบวนอย่างสันติ จากสนามหลวง ไปลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นการแสดงออกที่เหมาะสม ดีกว่าไปแสดงพลังที่สถานทูต กัมพูชา ในประเทศไทย
“นายกฯ รู้เรื่องการตกลงในสัญญา ต่างๆ ที่ทำขึ้นในอดีตเป็นอย่างดี ว่า มีสัญญาใดบ้าง ที่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ แต่นายกฯ ยังไม่กล้าตัดสินใจ ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งนั้นมันไม่ถูก เพราะจะทำอะไรอย่างออกหน้าเกินไปไม่ได้ จะต้องอาศัยสถานการณ์เข้าช่วย ซึ่งก็คือให้ประชาชนออกมาตอบโต้ แสดงความไม่เห็นด้วย เพื่อให้ต่างประเทศ เห็นควรด้วยกับการกระทำของรัฐบาล” นายพิภพ กล่าว
นายพิภพ กล่าวถึงจุดยืนพันธมิตรฯ ว่า คำนึงถึงประเทศชาติเป็นสำคัญ เรามีหลักฐานและเหตุผล มาตั้งแต่ครั้งชุมนุม 193 วันแล้ว ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับการลงนาม ในระดับหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ถือว่ามีมูลแล้ว ดังนั้นรัฐบาล มีหน้าที่สนอง ประชาชน ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของประชาชน ไปสานงานต่อ เพราะข้อมูลบางอย่างประชาชน ไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่รัฐบาล มีโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ได้อย่างดี
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวว่าตามปกติ สนธิสัญญาระหว่างประเทศ กำหนดให้คู่กรณีตกลงกัน ว่า ถ้าหากมีผู้ต้องหา หนีข้ามแดน ประเทศที่รับผู้ต้องหา มีสิทธิสอบสวนให้ความเป็นธรรม ก่อนส่งให้ผู้ร้องขอ อย่างไรก็ตามอำนาจการตัดสินใจ จะส่งผู้ต้องหาไปให้ ประเทศผู้ร้องขอหรือไม่ ตามสนธิสัญญาหากเป็นคดีอาญา จะต้องส่งตัวให้ประเทศผู้ร้องขอทันที แต่หากเป็นคดีอาญาการเมือง จะยกเว้นไว้ ว่า รัฐที่เป็นเจ้าบ้านไม่มีหน้าที่จะต้องส่ง ทำให้กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการถกเถียงกันว่า เป็นความผิดทางการเมืองหรือไม่ แต่ ฮุนเซน ได้รีบออกมาปกป้องว่า เป็นนักโทษการเมือง จึงทำให้ไทยอ้างสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตามการออกมาฟันธงของ ฮุนเซน จะถูกผิดประการใด ชาวโลกจะเป็นผู้พิจารณาอีกที
“กรณี ฮุนเซน ออกมาฟันธงว่า พ.ต.ท.ไม่ผิดอาญา เป็นการทำผิดมารยาททางการทูต และเพื่อนบ้านที่ดี เปรียบเที่ยบให้เห็นง่ายๆ เด็กในบ้านเรา ถูกทำโทษแล้วหนีไปอยู่ข้างบ้าน เมื่อก็บอกให้เพื่อนบ้านส่งเด็กกลับ เพื่อนบ้านที่รักเด็ก อาจเอ็นดูในเด็กคนนั้น แล้วบอกว่าใจเย็นๆ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน เด็กคนนี้ทำผิดอะไรจะอาสาตักเตือนให้เอง หากเพื่อนบ้านพูดอย่างนี้ ก็พอจะพูดกันได้ แต่ถ้าเพื่อนบ้านบอกว่า เด็กคนนี้ไม่ผิด ก็จะเกิดความไม่นับถือ ไม่ไว้วางใจกัน”ดร.กิตติศักดิ์ กล่าว
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวว่าหากวิเคราะห์การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ พบว่าคนที่เป็นคนว่างแผน มักเดินไปในทางที่พลาด เช่นขายหุ้นโดยไม่ต้องเสียภาษี จนนำไปสู่การหกล้ม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะคิดเอาแต่ได้ ดังนั้นการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา ทางเศรษฐกิจ แล้วตัดสินใจเดินทางเขามาในเขมร เพราะหวังว่า จะมีคนเห็นคุณค่า อาจมีการลุกฮือของประชาชน แล้วเรียกร้องให้มีการนำตัว กลับเข้ามาประเทศ อย่างไรก็ตามดูเหมือน จะไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ เพราะประชาชนคนไทย เห็นว่า อดีตผู้นำประเทศ ไปเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ ส่อให้ข้อมูล เอ็มโอยู 44 ที่ทำไว้ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ อาจเกิดความเสียหายต่อประเทศ ดังนั้นจึง เป็นสิ่งที่ไม่น่ายกย่อง เป็นการชักศึกเข้าบ้าน
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวต่อว่าเป็นไปไม่ได้ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในประเทศกัมพูชา เพราะปกติหากจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ต้องตั้งที่ประเทศที่มีอำนาจเหนือกว่าประเทศไทย หรือเท่าเทียมกัน แต่เมื่อประเมินกำลังของกัมพูชา แล้วพูดได้ทันทีว่า ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ และถ้าจะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ ประเทศเวียดนาม รัฐบาลเวียดนามก็ดูออกว่า หากร่วมมือกับไทยจะเกิดผลดีหรือโทษ มากกว่ากัน ทั้งนี้ถ้าหากรัฐบาลไทย ให้ข้อมูลต่อประเทศเวียดนาม ได้รู้ถึงความเป็นมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้เวียดนามไม่สนับสนุน แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ จะเหมือนหนูติดกับดัก
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวว่าป็นห่วงการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ที่หลายคนยังสงสัย ว่า ชุมนุมทำไม ซึ่งหากพันธมิตรฯ บอกว่าชุมนุม เพื่อแสดงพลังรักชาติ ก็อาจพอฟังได้ แต่จะทำอย่างไรไม่ให้การชุมนุม กลายเป็นการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง เพราะหากกลายเป็นความเกลียดชังทางชนชาติ ก็จะกลายเป็นปัญหาบานปลายได้ และสื่อมวลชนจะไม่ทำให้ประเด็นบิดเบือน เพราะเป็นที่รู้ดีว่า ย่อมมีสื่อบางประเภท มุ่งนำประเด็นรุนแรงมาเสนอข่าวอยู่แล้ว ที่สำคัญต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ต้องการส่งผลถึงรัฐบาลไทย หรือกัมพูชา หรือต่อชาวโลก
“ทำอย่างไรก็ได้ให้ชาวกัมพูชา รู้สึกว่าเรา เตือนด้วยความเป็นมิตร อย่าปล่อยให้รัฐบาล ทำร้ายความเป็นมิตรหรืออย่าสนับสนุนคนทำผิด สิ่งเหล่านี้สามารถสื่อสารได้ เช่นบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนโกงชาติ เราต้องชี้เจงให้เห็นว่า เขาโกงอย่างไร แล้วอย่างนี้คนกัมพูชา ยังจะปล่อยให้ ฮุนเซน ตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เขามาโกงประเทศคุณอีกหรือ” ดร. กิตติศักดิ์ กล่าว
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวอีกว่ายกเลิก เอ็มโอยู ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ ต้องมีเหตุสำคัญ คือ การผิดสัญญา เวลานี้เราจะบอกว่า ฮุนเซน ไม่รักษาสัญญา การ แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษา จะทำให้ไทยเสียเปรียบ เพราะอดีตนายกฯ รู้เรื่องเอ็มโอยู 2544 เป็นอย่างดี ตรงนี้เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นจะบอกว่า ไม่พูกพันธ์ตามสัญญาไม่ได้ เพราะเวลาลงนามต้องเป็นการลงนามในฐานะรัฐบาล หากตราบใดที่มีเพียงข้อสงสัย จะทำให้คำพูดไม่มีน้ำหนัก ตรงนี้เป็นปัญหาว่า รัฐบาลจะต้องอธิบายต่อชาวโลก ให้เข้าใจได้อย่างไร
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาล ตอบโต้กัมพูชา ที่แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษา ตนให้คะแนน นายกฯ คนเดียว ที่ตอบโต้ด้วยเหตุและผล อธิบายได้ชัดเจน “เป็นอำนาจเขา ที่จะแต่งตั้งใครก็ได้ แต่ที่คนไทยรับไม่ได้ เพราะมาดูหมิ่นศาลไทย ถือเป็นการก้าวก่ายกิจการภายในประเทศ” เพราะที่ผ่านมาหลายหน่วยงานยังสับสน เอาเรื่องการแต่งตั้งมาเป็นประเด็นหลัก ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน
“คำสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เข้าข่ายหมิ่นเหม่ แต่สื่อพยายามปกปิด เนื่องจากกลัวความผิด ฐานนำข้อเท็จจริงมาเปิดเผยต่อ แล้วอย่างนี้มันจะเกิดปัญญาต่อประชาชนได้อย่างไร คนที่มีสติปัญญา จะไปแก้ว่า สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำผิด ก็แก้ไม่ได้ ทางที่ดีน่าจะยอมให้เอาข้อมูลเหล่านี้มาตีแผ่กันได้ อย่างน้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เคยมีพระราชดำรัส ว่า “ถ้าใครดูหมิ่นกษัตริย์ ก็อย่าไปลงโทษเลย ถ้าเขาพูดถูก จะได้นำไปแก้ตัว” ดังนั้นตนไม่อยากปล่อยให้การคุ้มครอง สถาบัน ด้วยการมีกฎหมายหมิ่น กลายเป็นโทษแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ เสียเอง เพราะที่ผ่านมาหลายครั้ง ดร.กิตติศักดิ์” กล่าว
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “คนในข่าว”
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-22.00 น. วันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 โดยมีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมพูดคุยถึง มูลเหตุจูงใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซบเขมร รับเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ
นายพิภพ กล่าวว่าการที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นเจ้าภาพเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุม ในวันที่ 15 พ.ย.นี้ ไม่ใช้เป็นการชุมนุมใหญ่ ไม่ได้เป็นการคลั่งชาติ ไม่ใช่การแสดงความเกลียดชังระหว่างไทย กับเขมร แต่ทำในฐานะที่เป็นผู้ริเริ่ม ก่อให้เกิดขบวนการรักชาติ โดยเห็นว่า สถานการณ์ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา ที่กำลังระอุในขณะนี้ มีความเหมาะสมที่จะต้องเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงขอเชิญชวน ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกสี ที่มีหัวใจรักชาติ กษัตริย์ ออกมาร่วมมือกันรักชาติ ปกป้องศักดิ์ศรีประเทศ ด้วยการแสดงพลัง ตอบโต้กัมพูชา และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธด้วย ดังนั้นกลุ่มคนเสื้อแดง จะต้องทิ้งความเห็นที่ไม่ตรงกัน โดยขอให้คำนึงถึง ผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับสถาบันด้วย ถึงเวลาแล้วที่จะได้แสดงออก ถึงความถูกต้อง รักชาติ
ทั้งนี้โดยส่วนตัวแล้วเห็น ว่า แถลงการณ์ประณามอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน การแสดงออกอย่างสงบ สันติ เอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นตัวตั้ง เป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อให้ชาวโลกได้เห็น ว่า นักการเมืองแบบ ฮุนเซน และพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักธุรกิจการเมือง เอาผลประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง สังเกตุได้จากท่าทีของรัฐบาลประเทศกัมพูชา ที่หงอต่อ ประเทศเวียดนาม โดยยอมให้ เวียดนาม รุกล้ำดินแดน แต่กลับมาก้าวร้าวกับประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า ชนิดที่ว่าหากสู้รบกัน กัมพูชาไม่มีทางชนะไทยได้เลย ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ที่ทำไปทุกอย่าง เพื่อผลประโยชน์ในทรัพย์ยากรธรรมชาติ ทางทะเล
“ในทางประวัติศาสตร์ เมื่อไทยมีความอ่อนแอทางการเมือง ผู้นำประเทศกัมพูชา มักจะเข้ามาแทรกแซงในทุกครั้ง คราวนี้อาจเป็นไปได้ว่า ฮุนเซน ใช้สันชาติญานทางการเมือง ฉวยโอกาสนี้โดยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง และมั่นใจว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะอ่อนแอลง จึงเป็นสาเหตุทำให้ ฮุนเซน แสดงปฎิกริยาไม่แคร์สายตารัฐบาลไทย อย่างที่เป็นอยู่” นายพิภพ กล่าว
นายพิภพ กล่าวว่ารัฐบาลยังใช้สื่อ เป็นเครื่องมือได้ไม่เต็มที่ ในการสร้างความเข้าใจต่อประชาชน อย่าง คดียุบพรรคไทยรักไทย ต้องแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช้ความผิดอาญา แต่เป็นความผิดทางการเมือง อีกอย่างรัฐบาลต้องเลิกใช้คนระดับโฆษก มาตอบโต้ด้วยการพูดจาส่อเสียด ต้องทำให้เป็นกิจลักษณะ สมเหตุเป็นผล ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปเป็นที่ปรึกษาของ ฮุนเซน รัฐบาลต้องอธิบายต่อสังคมโลก ให้เห็นว่า การกระทำของ ฮุนเซน ละเมิดสิทธิมนุษย์ชน หากรัฐบาลไม่อยากลงมือทำเอง ก็ให้ องค์กรด้านสิทธิมนุษย์ชน รณรงค์เรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ อย่างองค์กรสิทธิมนุษย์ชน ในประเทศพม่า ก็ได้
มีคนถามว่า ทำไมพันธมิตรฯไม่ไปแสดงออก ที่สถานทูตกัมพูชา นายพิภพ กล่าวว่าตนวิเคราะห์แล้ว เห็นว่า อารมณ์ความรู้สึกของคนที่เข้าร่วม มีจำนวนมาก ไม่อยากให้เกิดการคลั่งชาติ จนกลายเป็นประเด็น นำไปสู่ความเกลียดชัง ระหว่างประชาชนไทยกับประชาชนกัมพูชา การเคลื่อนขบวนอย่างสันติ จากสนามหลวง ไปลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นการแสดงออกที่เหมาะสม ดีกว่าไปแสดงพลังที่สถานทูต กัมพูชา ในประเทศไทย
“นายกฯ รู้เรื่องการตกลงในสัญญา ต่างๆ ที่ทำขึ้นในอดีตเป็นอย่างดี ว่า มีสัญญาใดบ้าง ที่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ แต่นายกฯ ยังไม่กล้าตัดสินใจ ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งนั้นมันไม่ถูก เพราะจะทำอะไรอย่างออกหน้าเกินไปไม่ได้ จะต้องอาศัยสถานการณ์เข้าช่วย ซึ่งก็คือให้ประชาชนออกมาตอบโต้ แสดงความไม่เห็นด้วย เพื่อให้ต่างประเทศ เห็นควรด้วยกับการกระทำของรัฐบาล” นายพิภพ กล่าว
นายพิภพ กล่าวถึงจุดยืนพันธมิตรฯ ว่า คำนึงถึงประเทศชาติเป็นสำคัญ เรามีหลักฐานและเหตุผล มาตั้งแต่ครั้งชุมนุม 193 วันแล้ว ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับการลงนาม ในระดับหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ถือว่ามีมูลแล้ว ดังนั้นรัฐบาล มีหน้าที่สนอง ประชาชน ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของประชาชน ไปสานงานต่อ เพราะข้อมูลบางอย่างประชาชน ไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่รัฐบาล มีโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ได้อย่างดี
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวว่าตามปกติ สนธิสัญญาระหว่างประเทศ กำหนดให้คู่กรณีตกลงกัน ว่า ถ้าหากมีผู้ต้องหา หนีข้ามแดน ประเทศที่รับผู้ต้องหา มีสิทธิสอบสวนให้ความเป็นธรรม ก่อนส่งให้ผู้ร้องขอ อย่างไรก็ตามอำนาจการตัดสินใจ จะส่งผู้ต้องหาไปให้ ประเทศผู้ร้องขอหรือไม่ ตามสนธิสัญญาหากเป็นคดีอาญา จะต้องส่งตัวให้ประเทศผู้ร้องขอทันที แต่หากเป็นคดีอาญาการเมือง จะยกเว้นไว้ ว่า รัฐที่เป็นเจ้าบ้านไม่มีหน้าที่จะต้องส่ง ทำให้กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการถกเถียงกันว่า เป็นความผิดทางการเมืองหรือไม่ แต่ ฮุนเซน ได้รีบออกมาปกป้องว่า เป็นนักโทษการเมือง จึงทำให้ไทยอ้างสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตามการออกมาฟันธงของ ฮุนเซน จะถูกผิดประการใด ชาวโลกจะเป็นผู้พิจารณาอีกที
“กรณี ฮุนเซน ออกมาฟันธงว่า พ.ต.ท.ไม่ผิดอาญา เป็นการทำผิดมารยาททางการทูต และเพื่อนบ้านที่ดี เปรียบเที่ยบให้เห็นง่ายๆ เด็กในบ้านเรา ถูกทำโทษแล้วหนีไปอยู่ข้างบ้าน เมื่อก็บอกให้เพื่อนบ้านส่งเด็กกลับ เพื่อนบ้านที่รักเด็ก อาจเอ็นดูในเด็กคนนั้น แล้วบอกว่าใจเย็นๆ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน เด็กคนนี้ทำผิดอะไรจะอาสาตักเตือนให้เอง หากเพื่อนบ้านพูดอย่างนี้ ก็พอจะพูดกันได้ แต่ถ้าเพื่อนบ้านบอกว่า เด็กคนนี้ไม่ผิด ก็จะเกิดความไม่นับถือ ไม่ไว้วางใจกัน”ดร.กิตติศักดิ์ กล่าว
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวว่าหากวิเคราะห์การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ พบว่าคนที่เป็นคนว่างแผน มักเดินไปในทางที่พลาด เช่นขายหุ้นโดยไม่ต้องเสียภาษี จนนำไปสู่การหกล้ม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะคิดเอาแต่ได้ ดังนั้นการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา ทางเศรษฐกิจ แล้วตัดสินใจเดินทางเขามาในเขมร เพราะหวังว่า จะมีคนเห็นคุณค่า อาจมีการลุกฮือของประชาชน แล้วเรียกร้องให้มีการนำตัว กลับเข้ามาประเทศ อย่างไรก็ตามดูเหมือน จะไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ เพราะประชาชนคนไทย เห็นว่า อดีตผู้นำประเทศ ไปเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ ส่อให้ข้อมูล เอ็มโอยู 44 ที่ทำไว้ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ อาจเกิดความเสียหายต่อประเทศ ดังนั้นจึง เป็นสิ่งที่ไม่น่ายกย่อง เป็นการชักศึกเข้าบ้าน
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวต่อว่าเป็นไปไม่ได้ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในประเทศกัมพูชา เพราะปกติหากจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ต้องตั้งที่ประเทศที่มีอำนาจเหนือกว่าประเทศไทย หรือเท่าเทียมกัน แต่เมื่อประเมินกำลังของกัมพูชา แล้วพูดได้ทันทีว่า ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ และถ้าจะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ ประเทศเวียดนาม รัฐบาลเวียดนามก็ดูออกว่า หากร่วมมือกับไทยจะเกิดผลดีหรือโทษ มากกว่ากัน ทั้งนี้ถ้าหากรัฐบาลไทย ให้ข้อมูลต่อประเทศเวียดนาม ได้รู้ถึงความเป็นมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้เวียดนามไม่สนับสนุน แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ จะเหมือนหนูติดกับดัก
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวว่าป็นห่วงการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ที่หลายคนยังสงสัย ว่า ชุมนุมทำไม ซึ่งหากพันธมิตรฯ บอกว่าชุมนุม เพื่อแสดงพลังรักชาติ ก็อาจพอฟังได้ แต่จะทำอย่างไรไม่ให้การชุมนุม กลายเป็นการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง เพราะหากกลายเป็นความเกลียดชังทางชนชาติ ก็จะกลายเป็นปัญหาบานปลายได้ และสื่อมวลชนจะไม่ทำให้ประเด็นบิดเบือน เพราะเป็นที่รู้ดีว่า ย่อมมีสื่อบางประเภท มุ่งนำประเด็นรุนแรงมาเสนอข่าวอยู่แล้ว ที่สำคัญต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ต้องการส่งผลถึงรัฐบาลไทย หรือกัมพูชา หรือต่อชาวโลก
“ทำอย่างไรก็ได้ให้ชาวกัมพูชา รู้สึกว่าเรา เตือนด้วยความเป็นมิตร อย่าปล่อยให้รัฐบาล ทำร้ายความเป็นมิตรหรืออย่าสนับสนุนคนทำผิด สิ่งเหล่านี้สามารถสื่อสารได้ เช่นบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนโกงชาติ เราต้องชี้เจงให้เห็นว่า เขาโกงอย่างไร แล้วอย่างนี้คนกัมพูชา ยังจะปล่อยให้ ฮุนเซน ตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เขามาโกงประเทศคุณอีกหรือ” ดร. กิตติศักดิ์ กล่าว
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวอีกว่ายกเลิก เอ็มโอยู ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ ต้องมีเหตุสำคัญ คือ การผิดสัญญา เวลานี้เราจะบอกว่า ฮุนเซน ไม่รักษาสัญญา การ แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษา จะทำให้ไทยเสียเปรียบ เพราะอดีตนายกฯ รู้เรื่องเอ็มโอยู 2544 เป็นอย่างดี ตรงนี้เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นจะบอกว่า ไม่พูกพันธ์ตามสัญญาไม่ได้ เพราะเวลาลงนามต้องเป็นการลงนามในฐานะรัฐบาล หากตราบใดที่มีเพียงข้อสงสัย จะทำให้คำพูดไม่มีน้ำหนัก ตรงนี้เป็นปัญหาว่า รัฐบาลจะต้องอธิบายต่อชาวโลก ให้เข้าใจได้อย่างไร
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาล ตอบโต้กัมพูชา ที่แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษา ตนให้คะแนน นายกฯ คนเดียว ที่ตอบโต้ด้วยเหตุและผล อธิบายได้ชัดเจน “เป็นอำนาจเขา ที่จะแต่งตั้งใครก็ได้ แต่ที่คนไทยรับไม่ได้ เพราะมาดูหมิ่นศาลไทย ถือเป็นการก้าวก่ายกิจการภายในประเทศ” เพราะที่ผ่านมาหลายหน่วยงานยังสับสน เอาเรื่องการแต่งตั้งมาเป็นประเด็นหลัก ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน
“คำสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เข้าข่ายหมิ่นเหม่ แต่สื่อพยายามปกปิด เนื่องจากกลัวความผิด ฐานนำข้อเท็จจริงมาเปิดเผยต่อ แล้วอย่างนี้มันจะเกิดปัญญาต่อประชาชนได้อย่างไร คนที่มีสติปัญญา จะไปแก้ว่า สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำผิด ก็แก้ไม่ได้ ทางที่ดีน่าจะยอมให้เอาข้อมูลเหล่านี้มาตีแผ่กันได้ อย่างน้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เคยมีพระราชดำรัส ว่า “ถ้าใครดูหมิ่นกษัตริย์ ก็อย่าไปลงโทษเลย ถ้าเขาพูดถูก จะได้นำไปแก้ตัว” ดังนั้นตนไม่อยากปล่อยให้การคุ้มครอง สถาบัน ด้วยการมีกฎหมายหมิ่น กลายเป็นโทษแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ เสียเอง เพราะที่ผ่านมาหลายครั้ง ดร.กิตติศักดิ์” กล่าว