xs
xsm
sm
md
lg

พันธมิตรฯ เปิดใจ 4 ปี กับการต่อสู้ข้อกล่าวหา ดึงฟ้าลงต่ำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“คำนูณ” อึ้งปรากฎการณ์ “สนธิ” ต่อสู่ขบวนการ หมิ่นเบื้องสูง ทำคนกลับใจ มวลชนอ้าแขนรับพร้อมยืนข้าง ยันสู้ไปเรื่อยๆ จนกว่าประชาชนจะเข้าใจอย่างทั่วถึง ด้าน “สโรชา” เผยเป็นพันธมิตรฯ เพราะ “สนธิ” กล้านำความจริงมาเปิดเผย และพิสูจน์ชัดเป็นจริงดังที่แฉ ลั่นเลือกเดินทางที่ถูกต้อง ไม่ต้องให้ใครชี้ทางเดิน ขณะที่“ปานเทพ” ชี้ให้เห็นการต่อสู้ ล้มลุกคลุกคลาน หลังถูกกลั่นแกล้งปลดการออกอากาศ จนมาเป็นทีวีของประชาชนเพื่อประชาชน

รายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-21.30 น.วันที่ 13 พฤศจิกายน 2552 โดยมี นางสาวจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ได้รับเกียรติจาก นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา พร้อมด้วยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ผู้ดำเนินรายการทางสถานีโทรทัศน์ เอเอสทีวี มาร่วมย้อนอดีตการเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา กับการพิสูจน์ควมจริง ข้อกล่าวหา ดึงฟ้าให้ลงต่ำ

นางสาวจินดารัตน์ กล่าวประกาศถึงงานรวมตัว แสดงพลังรักชาติ ในวันอาทิตย์ที่ 15 พ.ย. 2552 ว่า ขอให้พี่น้องประชาชนที่จะเข้าร่วมแสดงพลัง ไปรวมตัวกันที่ สนามหลวง ตั้งแต่เวลา 16.00 น. แห่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากบริเวณ ลานพระบรมรูปทรงม้า มีการจัดพิธี ซ้อมเดินสวนสนาม ทั้งนี้เราจะจัดกิจกรรมที่สนามหลวง ไปจนถึงเวลา 23.00 น. และอย่างลืมนำ เทียนไข กับ ธงชาติ ไปด้วย หลังจากนั้นได้นำเทปย้อนคำพูดนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เคยกล่าวไว้ หลังมีคนส่งมาให้ในเว็บไซน์ manager.co.th ว่า "พ่อมีความรักอันอบอุ่นให้ลุกเสมอ พ่อไม่เคยเกี้ยวกาจด่าทอลูกว่าโง่ เวลาพ่อจะบอกลูกถึงปัญหา พ่อมักมีแง่คิดดีๆ มีนิทาน แฝงคติให้ลูกๆ ได้นำไปคิดเสมอๆ ซื่งเมื่อลูกๆ ได้คิดก็จะเข้าใจอะไรมากขึ้น พ่อมักเตือนให้ลูกๆ แปลงฟันก่อนนอน เพื่อฟันจะได้ไม่ผุ แต่ลูกๆ ก็มักจะคิดได้ หลังจากต้องถอนฟันไปซี่แล้วซี่เล่า พ่อมักบอกให้เราซื้อสัตย์ ทำงานหนัก เพื่อที่เราจะได้เป็นอยู่ดี ตามอัตภาพ พ่อไม่เคยบอกให้เราต้องร่ำรวย เพื่อให้มีความสุข พ่อมักบอกเสมอๆ ว่า เรามีความสุขได้ตามอัตภาพ โดยไม่ต้องร่ำรวย

พ่อมีลูกๆ ของท่าน 60 กว่าล้านคน ไม่เคยคิดที่จะยอมขายลูกของตัวเอง เอาเปรียบลูกของตัวเอง เพื่อฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แม้แต่ภาหนะเดินทางของพ่อ รองเท้าเก่าๆ ของพ่อ ก็ยังคงทนุถนอม ใช้ของเดิมๆ เมื่อชำรุดก็ให้คนเอาไปซ่อม พ่อไม่เคยคิดที่จะไถเงินของลูกครั้งละ 40 สตางค์ เพื่อความมั่งคั่งส่วนตัวของพ่อเอง พ่อมักบอกับลูก ๆ เสมอว่าเราต้องก้าวไปพร้อมๆกัน ถ้าลูกคนโตสบายอยู่คนเดียว ในขณะที่ลูกๆ อีก 60 ล้านคน ต้องลำบาก โดนเอาเปรียบโดยการเปลี่ยนแปลงพี่น้อง ให้เป็นทาส มอมเมาพี่น้องด้วยเงินทอง โทรศัพท์มือถือ การพนัน พ่อไม่ถือว่าเป็นการพัฒนา

พ่อบอกให้ลูกๆ เลือกตัวแทนมาทำงาน มาบริหารครอบครัว โดยมีเป้าหมายเพื่อความสุข สูงสุดของลูก ๆ ทุกคน ไม่ใช่เพื่อกำไรสูงสุดของครอบครัว แต่เพื่อความสุขสูงสุดของครอบครัว ภายใต้เงือนไขที่มีอยู่อย่างมากมาย ทั้งภายในบ้านและรอบๆ บ้าน แต่มีลูกที่ดื้อรั้น หยิ่งผยอง อวดดี ที่เผอิญไปสวมหนังลูกแกะ และคุณธรรม คิดวัดรอยเท้าพ่อ ใช้พี่น้องคนอื่นๆ ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือบางคนก็รู้แต่สมยอม เพราะพี่ชายคนโตมีท่าไม้ตายคือการเอาเงินฟาดหัว จากลูกๆ ที่เป็นแกะดำเพียงไม่กี่คน ลัทธิรวยแล้วโก้ รวยแล้วเทห์ รวยแล้วกร่างก็เริ่มแพร่หลายในสังคม จากลูกแกะเซื่องๆ ที่มาจากศรัทธาของพี่น้อง ไหว้แม้แต่พี่น้องที่อาศัยอยู่ข้างถนน กลายเป็นคนใจร้อน กำแหง เกรี้ยวกราดกับทุกคน จากคนเดิมๆ ที่พ่อยอมให้มาบริหารครอบครัว แม้มีความไม่โปร่งใสในทรัพย์สิน จากผู้นอบนอมกลายเป็นศาสดา ซึ่งมอบความกลัว ความเกียจชัง และข้อกล่าวหาแก่พี่น้องว่า โงทุกคน ที่เห็นตรงกันข้าม กลายเป็นศาสดา ที่กำแหงกล้าชี้ผิดชี้ถูก รุกคืบในสิทธิมนุษย์ชนของพี่น้องคนอื่นๆ เข้าไปในชีวิต วิธีชีวิตของพี่น้องอีก 60 ล้านคน จากผู้ที่ดูเหมือนจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง กลายเป็นบุคคนปริศนา ที่ไม่กล้าตอบคำถามใดๆ ยึดครองสมบัติของครอบครัว เป็นของคนแต่ผู้เดียว

พ่อบอกว่า พ่อเกลียดคนโกง ลูกแกะหลงทางบอกว่า ไม่ต้องตรวจสอบ ผมรับประกัน ผมใหญ่ที่สุดแล้วในครอบครัว ถ้าใครมีปัญหาระวังจะไม่มีงานทำ พ่อบอกว่านี่คือลูกที่ดีของฉัน ลูกผู้ชายหลงผิดบอกว่า ต้องขับออกจากพรรค พ่อบอกว่าเราควรมีเศรษฐกิจแบบพอเพียง พวกลูกแกะหลงทาง บอกว่าจะเอาอะไรกิน เราไปอยู่กระต๊อบกันดีไหมพวกโง่ทั้งหลาย พ่อบอกว่าเราต้องพัฒนาไปพร้อมๆกัน ก้าวเดินไปพร้อมๆกัน ลูกแกะหลงทาง ขายสาธารณูปโภคพื้นฐาน เพื่อทำกำไรแก่คณะตนเอง ลามไปถึงการจัดกำลังคุ้มกันบ้าน ลูกแกะหลงทางกล่าวกำแหง ผมจะเอาคนนั้น คนนี้ ใครเปลี่ยนไม่ได้ เพราะพ่อต้องอยู่ใต้ผมบ้าง ลูกแกะคนโตยังหลงทาง ต่อไป และต่อไป ลูกๆทั้งหลายตื่นเถอะ ตาสว่างได้แล้ว ชีวิตนี้ของพวกท่าน เป็นของพ่อ โดยที่ไม่ต้องมีกฎใดๆ มารองรับ...กราบแทบเท้าพ่อของแผ่นดิน."

นายคำนูณ กล่าวว่าการจาบจ้วงมีมานานแล้ว ความเรียงเรื่อง "ลูกแกะหลงทาง" นายสนธิ ลิ้มทองกุล อ่านครั้งแรกที่ ม.ธรรมศาสตร์ ในการอภิปรายทางวิชาการ เรื่อง พระราชอำนาจ ขณะนั้นมีเรื่องราว การละเมิดพระราชอำนาจ เกิดขึ้นมากมาย เช่นกรณี คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผนดิน ทำงานตรวจสอบคนโกงอย่างเข้มข้น จนกระทั้งได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราช ชั้น ตระกูลจอมเกล้า อันเป็นที่มาของคำนำหน้าว่า คุณหญิง การตรวจสอบอย่างเข้มข้นนี้เองทำให้ นักการเมืองบางกลุ่ม ไม่พอใจ เกิดการอภิปรายทักท้วง กล่าวหาว่า ได้เครื่องราชมาโดยไม่ถูกต้อง ทั้งที่การให้เครื่องราชนี้ เป็นไปตามพระราชอำนาจ อีกประเด็นเป็นกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าไปนั่งทำพิธี ในวัดพระแก้ว และ การแต่งตั้งคณะผู้ปฎิบัติหน้าที่แทน สมเด็จพระสังฆราช

คำนูญ กล่าวต่อว่ามีเหนื่อยและท้อแท้บ้าง สำหรับการให้ข้อเท็จจริง กับขบวนการจาบจ้วงเบื้องสูง จนถูกกล่าวหาว่า ดึงเบื้องสูงลงมาต่ำ แต่ไม่กังวลที่ต้องถูกคนบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ เพราะตนรู้ตัวดีว่า กำลังทำอะไรอยู่ ตรงนี้ต้องยอมรับ ว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้นำ ที่มีหัวใจแข็งแกร่งมาก ไม่เคยปริปากบ่นหรือแสดงอาการท้อให้เห็นเลย โดยหลายครั้งที่ตน ท้อแท้ ก็ได้กำลังใจจาก นายสนธิ ที่ส่ง เอสเอ็มเอส บอกให้ผ่อนคลาย เชื่อมั่นในศรัทธา แล้วพูดว่าหากเพื่อนร่วมงาน จิตตกเสียแล้ว “สนธิ” จะไปทำให้ประชาชน เชื่อมั่นได้อย่างไร ตนก็ยังคิดอยู่ ว่า หาก นายสนธิ อ่อนแอเขาไปหาใคร

นางสาวสโรชา กล่าวเสริมว่า หากไม่ใช่ นายสนธิ ถอยกันไปตั้งนานแล้ว สาเหตุที่ตน ตัดสินใจเลือกเดินตาม นายสนธิ นำความจริง การจาบจ้วงเบื้องสูง ออกมาเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ เป็นเพราะศรัทธาในตัวนายสนธิ เพราะหลายครั้งได้แสดงให้เห็น ข้อมูลที่พูดเป็นความจริง ประกอบกับเมั่นใจ ว่า นายสนธิ มีเจตนาบริสุทธิ์และได้วิเคราะห์ ไตร่ตรอง ดีแล้ว ตลอด 4 ปี ที่ผ่านมา กับการคลุกคลีข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลความจริงเริ่มปรากฎขึ้นเรื่อยๆ จนตนตกผลึก คราวนี้ไม่ได้เดินตาม นายสนธิ แล้วตนเดินตามทางที่เห็นว่าถูกต้องเอง ทำด้วยใจศรัทธา

ปานเทพ กล่าวว่าหลังจากรายการถูกถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง 9 เราได้ตัดสินใจเริ่มรายการอีกครั้ง ทางสถานี เอเอสทีวี ก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เป็นเพียงสื่อเล็กๆ ไม่มีใครรู้จัก ประกอบกับการดำเนินรายการ เป็นไปแบบติดๆ ขัดๆ เสียงอยู่ช่องหนึ่งภาพอยู่อีกช่องหนึ่ง แต่ก็ไม่ย่อท้อดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับต่อยอด ด้วยการเปิดเวทีให้ข้อมูลการเมือง ที่หอประชุมเล็ก ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งจุคนได้ประมาณ 2-3 พันคน ในขณะนั้น สำหรับตน ถือเป็นเรื่องใหญ่ ก่อนจะเริ่มเสวนา ก็กังวลไปต่างๆนาๆ สื่อที่ถ่ายทอดออกอากาศ ก็ไม่ค่อยมีใครรู้จัก แล้วอย่างนี้คนจะมามากน้อยแค่ไหน แต่ปรากฎว่า คนล้นเวที ในครั้งนั้นถือว่าเป็น ปรากฎการณ์ที่ไม่ธรรมดา คนให้ความสนใจ ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ นายสนธิ ผุดแนวคิดว่า ในเมื่อมีคนติดตามมากขนาดนี้ ก็อยากจะเปิดเวที ทุกวันศุกร์ นับเป็นจุดเริ่มต้นจนนำไปสู่สิ่งที่ดีในวันนี้

คำนูณ กล่าวว่าผู้นำมวลชนในขณะนั้น มักเป็นคนที่มีกิจกรรมทางการเมืองอยู่แล้ว แต่การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำมวลชน ของ นายสนธิ มันแปลก โดยตลอดเวลาที่ นายสนธิ ออกรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ซึ่งนายสนธิเองก็ไม่รู้ว่า จะมีคนติดตามรายการหรือไม่ และจะมีแฝนรายการมากน้อยแค่ไหน จนกระทั่ง เมื่อรายการถูกถอด นายสนธิ เลือกที่จะสู้ต่อ ด้วยการจัดรายการ ที่ห้องส่ง เกิดปรากฎการณ์ ที่เป็นลักษณะใหม่ของสังคม แฟนรายการ ที่รู้สึกว่า นายสนธิ ไม่ได้รับความเป็นธรรม แห่เข้ามาฟังรายการที่ห้องส่ง มีการต่อแถวขอรายเซนต์ จนเกิดเป็นภาพปกติ จนทำให้เวลานี้หาก บรรดาแกนนำพันธมิตรฯเดินทางไปปราศรัยที่ไหน ก็จะลุมขอลายเซ็นกันตลอด

“เห็นอะไรบางอย่าง ที่หาไม่ได้ในชีวิตประจำวัน เห็นความรัก ความผูกพันธ์ เห็นหลายคน ที่เคยโกรธกันมาก่อน กลับใจ เพราะเขาเห็นบทบาท ของการลุกขึ้นมาต่อสู้กับระบอบ ทักษิณ ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล คนเหล่านั้น ลืมเรื่องในอดีต กลับมาให้การสนับสนุน เช่นครั้งมีการปราศรัยที่สวนลุม มี ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งก่อนหน้าเคยขัดแย้งกันมาก่อน ได้เดินเข้าชื่นชมในหลักการ การต่อสู้อย่างนี้” นายคำนูณ กล่าว

นายปานเทพ กล่าวว่าที่เราเชิญชวน ให้คนไทยทุกหมู่เหล่า มาร่วมแสดงพลัง เพราะขณะนี้เราถูก ย่ำยีศักดิ์ศรี ทั้ง ย่ำยีศาลไทย แต่งตั้งนักโทษหนีดดี ที่ทางการตามจับ ไปเป็นที่ปรึกษา นอกจากนี้ยังมี ขบวนการจาบจ้วง พาดพิงสถาบัน อย่างไม่เหมาะสม ดังนั้นคนไทยทุกคน ต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าคุณจะ มีแนวคิดขัดแย้งกันหรืออยู่ฝ่ายใด ขอให้ยุติเรื่องนั้นไว้ก่อน แล้วมาร่วมกันประกาศให้โลก รู้ว่า คนไทยรับไม่ได้กับการกระทำเหล่านั้น

ทั้งนี้สำหรับกิจกรรม เราจะ ถ่ายทอด ทางสถานี ASTV ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เริ่มต้นด้วยกิจกรรมด้วย การขับกล่อมบทเพลง จากศิลปินพันธมิตรฯ อาทิสุเทพ วงศ์คำแหง, อ๊อด คีรีบูน หลังจากนั้นเวลา17.00-18.00 เป็นการประกาศเจตนารมณ์ บนเวที ของแนวร่วมองค์กรณ์ทั้งหลาย เพื่อให้รู้ว่า พวกเราปกป้องเทิดทูลสถาบัน จากนันเวลา18.00 น. เราจะพร้อมใจกัน ร้องเพลงชาติ นำโดย หรั่ง ร็อคเคสตร้า เมื่อเสร็จสิ้นการร้องเพลงชาติ จะมีบทกวี จาก อ.อังคาร กัลยาณพงศ์ และอ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ และช่วงเวลา 18.45-19.00 น. เป็นการแสดงดนตรีของวง แฮมเมอร์ หลังจากนั้นจะเป็น การอภิปรายเดี่ยว นอกสภาครั้งแรกของ นายคำนูณ สิทธิสมาน ในหัวข้อเรื่อง “จากทักษิโนมิกส์ ถึง ฮุนเซน โมเดล”

ส่วนช่าวงเวลา 19.50-20.30 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ขึ้นปาถกฐาพิเศษ ในหัวข้อ “ทำไมต้องสู้เพื่อในหลวง” จากนั้นเวลา 21.00-21.30 พี่น้องประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม สงบนิ่งรวมจิตให้เป็นสมาธิ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองประเทศ และให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง ต่อจากนั้นเวลา 21.50น.จะเป็น การประกาศเจตนารมย์ จากบรรดาแกนนำ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สุดท้ายวลา22.40 -23.00 น.ร่วมกันจุดเทียน ชูธงชาติ ร้องเพลงสดุดีมหาราชา และเพลงสรรเสริญพระบารมี ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน

เมื่อถามว่า เราพิสูจน์กันมา 4ปี ได้เห็นหน้าตาที่แท้จริงของทุกฝ่าย เราจะต้องต่อสู้อีกนานแค่ไหน นายคำนูณ กล่าวว่า ยาวนานเท่าที่ต้องเป็น บางครั้งเราไม่อาจกำหนดได้ แต่เราต้องทำทหน้าที่ของเราไห้ดีที่สุด แล้วผลสำเร็จจะตามมาเอง ช่วง 193 วันเป็นการต่อสู้ที่สำคัญที่สุด พี่น้องประชาชน ที่ติดตามจะเข้าใจได้ ถ้าหากจะไห้กำหนดเวลา ก็ขอให้เราคิดว่าขนาดตัวเรา คลุกคลีกับข้อมูลข่าวสาร ยังใช้เวลานานขนาดนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว จะประสาอะไรกับ ประชาชนที่ไม่ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นปกติ ย้อมใช้เวลานานกว่าเรา ยอมรับว่า ประเทศไทยปัจจุบัน มีขบวนการลบหลู่ ปล่อยข่าว อย่างต่อเนื่อง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราก็สู้มาตลอด ผ่านมา 4 ปีแล้ว ดังนั้นอย่าถามเลย ว่า จะต้อง สู้กันอีกกี่ปี เพราะ มันเป็นส่วนหนึ่งของ ชีวิตของเราไปเสียแล้ว

ปานเทพ กล่าวย้ำว่า ไม่ว่าคนที่เข้าร่วมแสดงพลัง จะใส่เสื้อสีอะไร หากเจตนามาดี ก็ขอต้อนรับ ส่วนด้านความปลอดภัยจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงกำลังโดยรอบ นอกจากนี้ยังมีมอไซด์ตำรวจ วนรอบสนามหลวง เพื่อป้องกันอีกชั้นหนึ่ง 4 ปีมานี้ ชีวิตตน ตื่น จากพรรคการเมือง มาทำงานสื่อ จนที่สุดมาทำงานภาคประชาชน ชีวิตใน 4 ปีที่ผ่านมานี้ กระทำในสิ่งที่ ตนเชื่อว่าดี วางรากฐานให้ลูกหลานในอนาคต ซึ่งนับได้ว่าไม่เสียชาติเกิด ไม่ติดหนี้บุญคุณใคร
กำลังโหลดความคิดเห็น