“กษิต” ยังใจดีปล่อย “แม้ว” ระเริงถ่ายรูปคู่กับเพื่อนรัก “ฮุนเซน” ไปก่อน บอกเวลานี้แม้ รบ.ไทยทบทวนสัมพันธ์เขมรแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจจะใช้มาตรการใดสั่งสอน โดยก่อนหน้านี้ เคยเรียกทูตเขมรมาเตือน แต่ยังไม่ถึงขั้นส่งกลับประเทศ ชี้ฝ่ายเขมรควรมีสติ มอง “แม้ว” ให้ออกว่าเป็นนักโทษหนีคดีก่อน
วันนี้ (11 พ.ย.) นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ระหว่างไปร่วมประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือเอเปก ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยสื่อมวลชนถามว่า ทางกัมพูชาส่งหนังสือปฏิเสธการส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายกษิตกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ กำลังดำเนินการ แต่ปฏิกิริยาของทางกัมพูชา ตนไม่อยากกล่าวถึง แต่อยากขอร้องให้ประชาชนชาวไทยทั้ง 60 ล้านคนได้รำลึกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หนีคุกหนีตาราง และไปเป็นที่ปรึกษาของประเทศกัมพูชา รวมทั้ง อยากให้คิดให้ลึกซึ้งว่าเรื่องนี้มันเป็นอย่างไร ประกอบกับในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ก็มีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงอยากให้ช่วยกันคิดว่า ที่มาที่ไปอยู่ที่ผู้นำกัมพูชาหรือไม่ และ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ยังมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ที่ไปเยือนกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียนเพียง 1 วัน เราต้องดูคนของเราว่ากำลังทำอะไรกับประเทศไทย และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตนคิดว่า สมเด็จฯ ฮุนเซน พฤติกรรมในหลายครั้งไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีหนี้บุญคุณอะไรกับ สมเด็จฯ ฮุนเซน หนักหนา จึงต้องเชื่อฟังแล้วก็รับฟังคำสั่งของอดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งบัดนี้ที่ไปเป็นที่ปรึกษาของกัมพูชา สิ่งเหล่านี้ตนอยากให้ประชาชนคนไทยช่วยกันคิด เพราะไม่ใช่เรื่องของกระทรวงการต่างประเทศอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องศักดิ์ศรีของประเทศ และความรักชาติ ความเป็นคนไทยด้วย
เมื่อถามว่า การที่สมเด็จฯ ฮุนเซน ปฏิเสธทั้งที่ยังไม่ได้ดูรายละเอียดเป็นการกระทำที่เหมาะสมหรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า เขาตั้งหลักไว้ตั้งนานแล้ว ประกาศไว้ตั้งแต่ไปประเทศอียิปต์ ก็ไม่เป็นไร อีกทั้งแถลงหลายครั้งโดยกระทรวงต่างประเทศ หรือโดยทางนายกรัฐมนตรี โดยโฆษกรัฐบาล ก็ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวแล้วว่า เรากำลังทบทวนความร่วมมือต่างๆ และก็ได้ทบทวนไปแล้วทำไป 2 เรื่อง ณ วันนี้ คือการเรียกทูตกลับมา แต่ยืนยันเราไม่ได้ไล่ทูตเขากลับไป ซึ่งก่อนหน้านี้ตนก็ได้เชิญทูตกัมพูชามาพบ แต่เขาไม่สบาย ก็ได้คุยโทรศัพท์กันว่าอะไรเป็นอะไร ก็ได้ขอร้องชี้แจงให้เขาทราบแล้ว รวมทั้งทางด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ก็ได้คุยกับสมเด็จฯ ฮุนเซน นานกว่า 2 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา สำหรับเรื่องยกเลิก MOU ครม. มีมติแล้วให้ยกเลิก เรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลของทั้งสองประเทศ เพราะแต่งตั้งแรกทางฝ่ายกัมพูชาก็การลากเส้นล้ำเขตประเทศแล้ว ดังนั้น ถือว่าไม่น่ารักตั้งแต่ต้น
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีความจำเป็นที่จะดำเนินการอย่างไร นายกษิตกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศกำลังดูอยู่ เราต้องเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ทำอะไรต้องสุขุม ไม่ต้องไปเต้นแร้งเต้นกา ทำตัวเป็นเด็กร้องไห้โยเย เราเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรม ทำอะไรด้วยเหตุด้วยผล เพราะประเด็นปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่คนของเรา ที่เป็นคนไทย เกิดมาเป็นไทย อันนี้ต่างหากที่สำคัญ เพราะฉะนั้น ขอความวิงวอนกราบเท้าพี่น้องคนไทย ให้ตระหนักตรงนี้เสียก่อนว่าที่มาที่ไป เหตุทั้งหมด ทั้งที่ความสัมพันธ์ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร มันไม่ใช่เพราะผู้นำของกัมพูชา แต่เป็นอดีตผู้นำของไทย ทั้ง 2 คน มันหมายความว่าอะไร เราควรจะต้องทำอย่างไรร่วมกันในฐานะเป็นคนทั้งชาติ 65 ล้านคน มายืนหยัดด้วยกันเพื่อความถูกต้อง
เมื่อถามว่า มาตรการต่อไปที่ไทยจะทำอย่างไร นายกษิตกล่าวว่า ก็ต้องปรึกษากันดูไปก่อน การเต้นแร้งเต้นกาถ่ายรูป ก็ให้มีความสุขกันไปก็ไม่ได้ว่า แต่ขอยืนยันว่าเราก็คิดถึงมาตรการต่างๆ แต่เราก็ไม่อยากไปทำอะไร อยากรักษาความสัมพันธ์ที่ดี ก็ขอให้เขามีสติบ้าง ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง คน 2 ชาติ และชน 2 ชาติต้องมาเหนือผลประโยชน์ส่วนตัว ของคนเพียง 2 คน หรือ 2 ครอบครัว ประเทศชาติต้องเหนือส่วนบุคคลเป็นหลักปฏิบัติทั่วไป ใครจะขายตัวขายชาติต้องช่วยกันคิด เพราะเป็นงานเพื่อศักดิ์ศรีของคนทั้งชาติ ทางอาเซียนก็เป็นห่วงใยมา ไม่มีประเทศใดที่เห็นด้วยกับกรุงพนมเปญ เพราะถือเป็นการแทรกแซง ภายในกิจการของไทย เป็นเรื่องของ 2 ประเทศ อย่าไปรบกวนอาเซียน
เมื่อถามว่า ถ้าประเทศฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยากให้อาเซียนเข้ามาไกล่เกลี่ย จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า มันมีกรอบของอาเซียน กฎบัตรของอาเซียนต่างๆ คิดว่าคงมีการตั้งสติ ทั้งฟากกัมพูชา
เมื่อถามว่า ตอนนี้กัมพูชายังไม่ได้เข้ามาอยู่ใน APEC ประเทศสมาชิกได้พูดอะไรกับไทยในเรื่องนี้หรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ตนก็พูดกับทุกคน ว่าเรื่องนี้ต้องอธิบายทำความเข้าใจ ก็ได้ทำจดหมายอธิบายไปถึงหลายประเทศ ส่วนไทยจะขอให้ประเทศอาเซียนช่วยอะไร เราคงไม่ต้องขอ เพราะเขาก็รู้เองเวลาใครมีปัญหา เขาก็ช่วยพูดจามันเป็นหลัก เหมือนญาติพี่น้องต้องอยู่ในครอบครัวเดียวกัน เราก็ให้ข้อเท็จจริงไป รัฐบาลนี้ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ทำมาค้าขาย โดยใช้ตำแหน่งหน้าที่
เมื่อถามว่า มาตรการของไทยจะถึงขั้นรุนแรงจนยกเลิกความช่วยเหลือต่างๆ หรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า อยู่ในระหว่างการทบทวน ไม่ได้รีบร้อน เพราะต้องคิดถึงความผาสุกของประชาชน ทั้ง 2 ประเทศเป็นตัวตั้ง ตนเองก็รักชาวกัมพูชา ถือเป็นญาติพี่น้องของไทย และก็ไม่อยากให้เขาได้รับผลกระทบจากการกระทำใดๆ ต่อผู้ที่ไม่ได้หวังดีต่อเขา ประเทศไทยจะไม่ทำตัวเหมือนเป็นหญิงถูกปฏิเสธรักและไปฆ่าตัวตาย เราต้องมีสติ