“บุรณัชย์” ร้อง “มาร์ค” ทบทวน เอ็มโอยู 44 อย่าปล่อยให้ “นช.แม้ว” ล้วงตับไทย ย้ำไทยมีสิทธิ์ยกเลิกข้อตกลง เพราะสิทธิขั้นพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไป ตอกกลับ “นช.แม้ว” ชักศึกเข้าบ้าน ผลประโยชน์ส่วนตัว ตัวการทำไทย-เขมรวุ่น จวก ส.ส.เพื่อแม้ว กล้าแสดงจุดยืน อย่ายืมมือ ส.ส.บังหน้าจับผิด รบ. วอนพรรคเพื่อแม้วอย่าซ้ำเติมประเทศ แยกให้ออกระหว่างประโยชน์ทางการเมืองกับผลประโยชน์ของชาติ
วันนี้ (7 พ.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า พรรคประชาธิปัตย์ ขอสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาลไทย ในการใช้มาตรการตอบโต้รัฐบาลกัมพูชา เพื่อรักษาเกียรติภูมิของประเทศ รวมถึงการทบทวนบันทึก ข้อตกลงว่าด้วยการอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อน (เอ็มโอยู) เมื่อปี 2544 เพื่อเป็นการป้องกันการเสียผลประโยชน์ของชาติ เนื่องจากเอ็มโอยู 44 ทำในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าได้ล่วงรู้ความลับของประเทศไทย ดังนั้น ถือว่าการทบทวนและยกเลิก บันทึกข้อตกลงดังกล่าว เป็นสิ่งที่ควรกระทำ เพื่อปกป้องการสูญเสียผลประโยชน์ของชาติจากการเจรจาที่มีคู่เจรจา โดยฝ่ายหนึ่งมีอดีตนายกฯ ของไทยเป็นที่ปรึกษาด้านเศรฐกิจของกัมพูชา นอกเหนือจากเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลแล้ว กรณีประสาทพระวิหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยอมรับแผนที่ 1:200,000 ที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณได้ดำเนินการ ภายใต้แผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ในการสำรวจร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาเมื่อปี 2546 ได้ให้การยอมรับแผนที่ดังกล่าว ที่รัฐบาลก่อนหน้าของ พ.ต.ท.ทักษิณและรัฐบาลภายหลัง ถือเป็นจุดยืนของประเทศที่จะไม่ให้การยอมรับแผนที่ ที่เป็นข้อต่อสู้ที่สำคัญของรัฐบาลกัมพูชา ก็ขอให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนการยอมรับแผนที่ดังกล่าวโดยด่วน
ส่วนข้ออ้างของโฆษกกัมพูชา ที่ระบุว่าบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ซึ่งทำในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้นไม่สามารถยกเลิกได้นั้น ขอยืนยันวั่ฐบาลไทยมีสิทธิตามอนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยสนธิสัญญาระหว่างประเทศปี 1969 (พ.ศ.2512) ในมาตรา 54-56 ได้ให้สิทธิการยกเลิกฝ่ายเดียว ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน การที่ประเทศคู่เจรจามีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ในขณะที่กระบวนการเจรจายังไม่ยุติ รัฐบาลไทยมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในการยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกแถลงการณ์โจมตีรัฐบาลไทยว่าดำเนินการโดยขาดสติยั้งคิด และใช้การเมืองภายในกดดันประเทศเพื่อนบ้านนั้น ตนขอยืนยันว่า รัฐบาลทำด้วยความอดกลั้นและดำเนินการไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากการขาดสติยั้งคิดของรัฐบาล แต่เกิดจากการขาดจิตสำนึกของพ.ต.ท.ทักษิณมากกว่า ส่วนที่กล่าวอ้างว่าเป็นการเมืองภายใน เพื่อกดดันประเทศเพื่อนบ้านนั้น สิ่งนี้เป็นการเดินเกมการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทย โดยการยืมมือเพื่อนบ้าน เพื่อแทรกแซงการเมืองของประเทศไทย และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณใช้คำพูดว่า ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่เสื่อมทรามนั้น ความจริงความเสื่อมทรามนี้เกิดขึ้นเพราะรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวบังหน้า จนทำให้เกิดการตอบแทนบุญคุณทางการเมืองในวันนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ควรจะออกแถลงการณ์ เพื่อทำให้เกิดความกระจ่าง เพราะคนไทยอยากทราบ ว่า กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้สถานะที่ตนเองเคยเป็นนายกฯ ต่อการเจรจาเพื่อขอรับสัมปทานในอดีต ไม่ว่าจะเป็นที่เกาะกงหรือชักชวนคนมาลงทุนในก๊าซธรรมชาติ ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฏอย่างกว้างขวางทำให้เกิดความสงสัยในสื่อมวลชน ทั้งในกัมพูชาและสื่อมวลชนต่างประเทศ
นพ.บุรณัชย์ กล่าวต่อว่า สำหรับปฏิกิริยาต่อฝ่ายการเมืองต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามมาพรรคประชาธิปัตย์อยากตั้งข้อสังเกตว่า การที่พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์ 12 ข้อ ประณามท่าทีรัฐบาลไทยนั้น ขอยืนยันว่ารัฐบาลทำถูกต้องแล้ว หากพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร แต่ขอร้องว่าอย่าซ้ำเติมประเทศ ต้องแยกให้ออกระหว่างประโยชน์ทางการเมืองกับผลประโยชน์ของชาติ ปัญหานี้ที่เกิดขึ้น เกิดจากบุคคล 3 คน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.ชวลิต ยงใขยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย และสมเด็จฯ ฮุนเซน ไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระทำของประเทศไทย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าแถลงการณ์ทั้ง 12 ข้อ ไม่มีข้อใดที่ปกป้องเกียรติภูมิของประเทศชาติเลยแม้แต่น้อย มีแต่การแสดงออก ถึงความกังวลและความรู้สึกของกัมพูชา เป็นหลัก ซึ่งตนคิดว่าพรรคเพื่อไทย ควรจะทบทวนวิธีการเล่นการเมืองบนพื้นฐานของความเสียหายของประเทศได้แล้ว
ส่วนกรณีที่ นายวิทยา บูรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ได้แสดงความจำนงค์ที่จะยืมมือของ ส.ว.1 ใน 3 ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 โดยอ้างว่าการดำเนินการของนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 และ มาตรา 190 ตนคิดว่าหากประธานวิปฝ่ายค้านเห็นต่างในลักษณะดังกล่าว ก็ควรที่จะกล้าแสดงจุดยืนของตัวเอง ถ้าขัดรัฐธรรมนูญก็ต้องเดินหน้าถอดถอนนายกฯ จะไปยืมมือ ส.ว.มาบังหน้า ใช้การอภิปรายในสภาฯ เพื่อสร้างความขัดแย้งเพิ่มขึ้นไปอีก ตนคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่กล้าแสดงจุดยืน แต่หวังจะยืมมือสภาฯ บนผลักดันวาระการเมืองของตัวเองมากกว่า
นพ.บุรณัชย์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนรัฐบาลกัมพูชา แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษานั้น ตนคิดว่าคนไทยทั้งชาติ คงรู้ดีถึงพฤติกรรมของคนเสื้อแดง ตั้งแต่เดือน เม.ย. และเหตุการณ์ที่พัทยา จนถึงวันนี้กลุ่มคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยได้ทำทุกวิถีทางที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ทั้งนี้ ขณะนี้ปัญหาของประเทศยังวิกฤตอยู่ ตนคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้เตือนมาหลายครั้งแล้วว่า ยุทธศาสตร์ชักศึกนอก ก่อศึกใน ที่ขับเคลื่อนคู่ขนานกันระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.อ.ชวลิตในการชักศึกนอก และระหว่างพรรคเพื่อไทยกับกลุ่มคนเสื้อแดงในการก่อศึกใน สร้างความบอบช้ำให้แก่ประเทศ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้ งยังมีแผนการต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ก็อยากให้คิดถึงประเทศชาติ เกียรติศักดิ์ และศักดิ์ศรีความเป็นคนไทย โดยทบทวนการกระทำทุกเรื่อง