อดีต ปธ.คมช.ระบุหากไม่มีรัฐประหาร 19 ก.ย. วันนี้อาจไม่มีประเทศไทย โต้ไม่เด็ดขาดกำจัดระบอบทักษิณ ชี้มีอำนาจแค่ 14 วัน แนะรัฐบาลพลิกวิกฤตเป็นโอกาสปลุกกระแสชาตินิยม หลอมความแตกแยกเป็นเนื้อเดียวกัน ชี้ “แม้ว” รับบทที่ปรึกษาเขมร ส่อธาตุแท้คนขายชาติ ตำหนิ “ฮุนเซน” ไร้มารยาทการเมืองระหว่างประเทศ ใช้สื่อระบายอารมณ์ เชื่อยังสถานการณ์ยังไม่ตึงเครียดจนนำไปสู่ภาวะสงคราม
วันนี้ (9 พ.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. กล่าวถึงความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในขณะนี้ว่า อย่าเพิ่งตีความเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ เราต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป แล้วทำให้แต่ละเรื่องยุติ ถ้าไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่ในระดับภูมิภาคไปด้วย นอกจากนี้ ต้องมาดูว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองหรือเป็นเรื่องผลประโยชน์ใครหรือไม่ ซึ่งเราต้องทบทวนว่ามีประเทศใดใช้สถานการณ์เพื่อทำให้เกิดประโยชน์กับเขาหรือไม่ โดยกระทรวงต่างประเทศต้องมาทบทวนมาตรการการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งต้องไปไตร่ตรองให้ดี นอกจากนี้ทางด้านการทูตต้องวิเคราะห์ให้ชัดเจนและแก้ปัญหาให้ยุติให้ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการปิดพรมแดน ใครจะได้หรือเสียประโยชน์ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าไปยังประเทศกัมพูชา ส่วนประชาชนชาวกัมพูชาถือเป็นผู้บริโภคที่รับผลผลิตจากประเทศไทย สิ่งของที่ชาวกัมพูชาใช้ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศไทย ซึ่งถ้ามีความจำเป็นต้องปิดชายแดนจริงก็ต้องมาดูว่าใครจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งกัมพูชาก็อาจมีตัวเลือกที่จะไม่รับสินค้าจากไทยแต่ไปรับสินค้าจากประเทศอื่นได้ เราต้องคิดให้ดีในการที่จะตอบโต้ในมาตรการต่างๆ ส่วนการดำเนินการในขณะนี้ของรัฐบาลตนเห็นว่าเป็นการดำเนินการที่เหมาะสมแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์ขณะนี้กองทัพควรสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนอย่างไรว่าพร้อมจะรับมือ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ไม่ต้องห่วงเพราะกองทัพต้องพร้อม 24 ชั่วโมง กองทัพต้องมีแผนการณ์ในการดำเนินการต้องเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ เตรียมคนและต้องทำความเข้าใจและอธิบายกับประชาชนให้เข้าใจว่ากองทัพมีความพร้อมและเข้มแข็งจริงๆ อีกทั้งการที่ทหารกัมพูชาเข้ามาเสริมกำลังยิ่งทำให้กองทัพไทยต้องพร้อมมากขึ้น ซึ่งตนมองว่าการที่เคลื่อนย้ายกำลังมาตามแนวชายแดนก็เป็นการเตือน และส่งสัญญาณความพร้อมว่าเราได้เตรียมความพร้อมไว้ทุกด้านแล้ว
“กองทัพมีภาระหน้าที่สองประการ คือ การป้องกันการรุกรานจากนอกประเทศ และการรักษาความเรียบร้อยภายในประเทศ ซึ่ง เราต้องแสดงศักยภาพ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและความมั่นใจให้ประชาชน เหมือนที่มีคำพูดมาตั้งตั้งแต่สมัยโรมันว่า ประเทศที่แข็งแรงกว่าทำอะไรก็ถูกไปหมด แต่ครั้งนี้ผมเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติที่จะทำสงครามระหว่างประเทศ เท่าที่ผมประเมินสถานการณ์ กัมพูชากำลังรบมีน้อยกว่า ดังนั้น การทำสงครามจึงไม่น่าเกิดเพราะประเทศไทยเข้มแข็งกว่าทุกด้าน แต่อย่างไรก็ตามต้องดูว่าเขามีตกลงอะไร ที่ยังไม่ยกเลิก กับสหพันธรัฐอินโดจีน เมื่อครั้งยุคสงครามเย็นหรือไม่” พล.อ.สนธิ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหมาะสมหรือไม่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะเข้ามาในประเทศกัมพูชาวันที่ 12 พ.ย. ที่จะถึงนี้ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ตนยังไม่แน่ใจว่าจะเข้ามาจริงหรือไม่ และยังไม่ทราบเจตนาที่แท้จริง แต่หากเข้ามาก็จะเป็นผลดีต่อประเทศชาติเรา เพราะจะได้รู้ว่าความเป็นจริงสถานการณ์เกิดจากอะไร สิ่งที่เกิดตามมาคือ จิตสำนึกของการรักชาติของคนไทยจะเกิดขึ้น จะเป็นเนื้อเดียวกัน คนไทยต้องสามัคคีดูว่าภัยของประเทศอยู่ตรงไหน และควรหันกลับมาร่วมมือกันแล้วหรือยัง ถ้ายังปล่อยให้เป็นอย่างนี้บ้านเมืองก็จะถอยหลังกลับไป ซึ่งเราควรที่จะย้อนไปดูประวัติศาสตร์ว่าเป็นมาอย่างไร อย่างไรก็ตาม การที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะมาที่กัมพูชาเราก็ไม่ทราบเจตนาที่แท้จริง ซึ่งก็แล้วแต่ประเทศจะคิดอย่างไร แต่สังคมโลกก็จะรู้เอง ตนคงไม่ฝากอะไรไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงเรื่องการจะรับเป็นที่ปรึกษาหรือไม่เพราะไม่ทราบเจตนาว่าสิ่งที่เกิดขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ คิดอะไร และจะได้ประโยชน์อะไร ซึ่งเรื่องนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ชาติควรต้องไปคิด
ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่ สมเด็จฯ ฮุนเซน เสนอให้ไทยยุบสภาเป็นการก้าวก่ายการเมืองภายในหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า “ตามหลักการ การก้าวก่ายกิจการนอกประเทศเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และเป็นมารยาทการเมืองระหว่างประเทศ ที่ต้องไม่ทำให้กระทบกับอีกฝ่าย ผู้เป็นนายกฯ ไม่ควรพูดผ่านสื่อไปกระทบกับอีกประเทศเพราะเป็นการผิดมารยาท เนื่องจากต่างก็มีทูต ควรให้ทูตหรือเจ้าหน้าที่ไปคุยในระดับล่าง จากนั้นจะดับบนค่อยมาเจรจาและจับมือกัน ไม่ใช่พูดฝากหนังสือพิมพ์ไปตีอีกฝ่าย” พล.อ.สนธิ กล่าวและว่า ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ยังไม่น่าจะจบง่ายๆ เพราะเป็นเรื่องของผลประโยชน์
ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีผลประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า มีหรือไม่ตนไม่ทราบแต่ต้องมาศึกษาจากการปักปันเขตแดนที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนที่ยังไม่มีความชัดเจน และเราต้องทำให้ประเทศได้ประโยชน์
ผู้สื่อข่าวถามถึงการที่ พล.อ.ชวลิต เดินไปทางไปพบผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านจะก่อให้เกิดปัญหาอีกหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เป็นโอกาสที่ดีที่รัฐบาลจะใช้ช่วงนี้มาทำให้เกิดความเป็นชาตินิยม แต่ไม่ถึงกับเป็นการคลั่งชาติ ซึ่งการเป็นชาตินิยมจะนำไปสู่ความรักความสามัคคีของคนในชาติ เพราะประเทศที่เจริญต่างก็มีความเป็นชาตินิยมสูง ทั้งนี้ เชื่อว่าการที่ พล.อ.ชวลิต ไปต่างประเทศจะไม่กระทบความสัมพันธ์ เพราะเชื่อว่ารัฐบาลของเพื่อนบ้านต่างก็ศึกษาและรู้ปัญหา เขากขะเชื่อหรือไม่เขาก็เลือกไว้แต่แรกแล้ว ไม่ใช่ไปบอกแล้วก็เชื่อ
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจุบันมาจากในตอนที่ทำรัฐประหารไม่เด็ดขาดใช่หรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ต้องเข้าใจอำนาจ คมช.ว่ามีอำนาจแค่ 14 วันในการดำเนินการ ต่อจากนั้นก็มีรัฐบาลมาบริหารงานต่อ ซึ่งตนคิดว่าหากไม่มีเหตุการณ์รัฐประหารประเทศไทยในวันนี้อาจจะไม่ใช่ประเทศไทยไปแล้วก็ได้