xs
xsm
sm
md
lg

“ไทยร่มเย็น” ง่ายนิดเดียวแค่ “จิ๋ว-แม้ว” หยุดพูด หยุดป่วน !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

เริ่มโหมโรงกันไปแล้วสำหรับนโยบาย “ไทยร่มเย็น เป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน” ที่ประกาศโดย “จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีที่เวลานี้ได้ผันตัวเองกลับมารับใช้ ทักษิณ ชินวัตร อีกรอบ

แม้ว่านาทีนี้ยังไม่รู้ว่านโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยหรือเป็นนโยบายส่วนตัวของ พล.อ.ชวลิตก็ตาม เพราะถึงจะมีตำแหน่งเป็นประธานพรรคเพื่อไทยก็ตามแต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะมีอำนาจกำหนดบทบาทอะไรด้วยตัวเองได้

เนื่องจากในทางพฤตินัยพรรคเพื่อไทยเป็นของ ทักษิณ และ ทักษิณ คือพรรคเพื่อไทย ขณะที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า พล.อ.ชวลิตเข้ามาอาศัยพรรคเพื่อดิ้นรนต่อสู้ให้รอดพ้นจากความผิดคดีอาญาจากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม ถึงกับบากหน้ายอมกลับเข้ามา “รับใช้” ยอมเป็น “หุ่นเชิด” ทางการเมืองเท่านั้นเอง

ยอมแม้กระทั่งจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทรยศชาติ !!

การเดินสายพบผู้นำประเทศเพื่อนบ้านเริ่มตั้งแต่ ไปจับมือกับ “ฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาจนนำไปสู่การย่ำยีกระบวนการยุติธรรมไทย สร้างปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ล่าสุดประกาศว่าจะเดินทางไปประเทศมาเลเซีย พม่า จีนและลาว เป็นต้น

แต่ที่สร้างความสงสัยเกิดขึ้นให้กับสังคมก็คือการพยายามรื้อฟื้นคำว่า “นครรัฐปัตตานี” ขึ้นมาอีกรอบ หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อราวปี 2547-48 เขาได้เสนอแนวความคิดดังกล่าวมาแล้วในยุครัฐบาล พรรคไทยรักไทย และมี ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี

ในยุคนั้น พล.อ.ชวลิต เป็นรองนายกรัฐมนตรีได้รับมอบหมายให้ดูแลปัญหาชายแดนภาคใต้อีกตำแหน่งหนึ่ง และเกิดผลงานชิ้นโบว์ดำกรณีเหตุการณ์ที่ “มัสยิดกรือเซะ” ที่มี พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เป็นผู้ช่วยในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) นั่นแหละ

เป็นแนวคิดที่เคยเสนอมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ ทักษิณ ไม่เอาด้วย แต่คราวนี้ในฐานะที่ตัวเองเป็นประธานพรรคเพื่อไทยก็ได้เสนอแนวคิดเรื่อง “นครรัฐปัตตานี” ขึ้นมาอีก

อย่างไรก็ดีเพื่อความเป็นธรรมก็ต้องอธิบายหลักการคร่าวๆให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า หากไม่พูดถึงเรื่องชื่อคือ นครรัฐปัตตานีแล้ว ก็คือแนวคิดในการจัดการบริหารท้องถิ่นในรูปแบบ “พิเศษ” อีกประเภทหนึ่ง นั่นคือการให้ประชาชนในพื้นที่ได้เลือกผู้บริหารโดยตรง สามารถออกกฎหมายบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตในท้องถิ่น มีการเก็บภาษีหารายได้บางประเภท เป็นต้น ซึ่งก็ต้องอธิบายถกเถียงกันในรายละเอียดในแง่ของความเหมาะสมอีกอีกยาว

แต่เอาเป็นว่าเป็นหลักกาารที่ดี สำหรับการแก้ปัญหาในพื้นที่ที่มีความเป็นมา มีพื้นฐานทางประวัติศาตร์แตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ เป็นปัญหาเรื้อรัง และถ่วงรั้งการพัฒนาโดยรวมมานานหลายปี

แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปด้วยและต้องไม่ลืมก็คือ เครดิตของคนที่เสนอหรือผลักดันแนวความคิดดังกล่าวว่าได้รับความเชื่อถือจากสังคมมากน้อยแค่ไหน ที่ผ่านมาลองย้อนกลับไปนึกดูว่าคนที่พูดเรื่องนี้คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เคยมีผลงานอะไรสำเร็จสักเรื่อง หากลองไล่ขึ้นมาตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพก็มัญหาความล้มเหลวในกรณี “ศึกร่มเกล้า” กับประเทศเพื่อนบ้าน โครงการ “อีสานเขียว” ที่มีแต่ปัญหาคอรัปชั่นเรื่อง “วัวพลาสติก” ยังอื้ฉาวจนบัดนี้

เมื่อจับพลัดจับผลูมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็นำไปสู่วิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540 สร้างความฉิบหายวายป่วงให้กับระบบเศรษฐกิจ หลายคนต้องล้มละลาย มีบาดแผล เกิดปัญหาสังคมมากมาย

และแม้กระทั่งย้อนกลับมาเป็นประธานคณะกรรมการแก้ปัญหาความยากจนก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า และปัจจุบันก็ยังไม่ยอมไปกระโดดแม่น้ำโขงตายตามสัญญาสักที

สิ่งที่นำมาหากินกันมานานก็คือนโยบาย 66/23 ที่สามารถเอาชนะพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) เกิดผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ทำให้ประเทศรอดพ้นจากสงครามกลางเมืองไปได้ แต่อีกมุมหนึ่งก็ต้องไม่ลืมเช่นเดียวกันว่า นโยบายดังกล่าวออกเป็นคำสั่งนายกรัฐมนตรีในยุคที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นผู้นำรัฐบาล และกลายเป็นว่า คนที่มีบทบาทสำคัญนอกจากจะมี พล.อ.หาญ ลีนานนท์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของนโยบาย “ใต้ร่วมเย็น” แล้วยังมี พ.ท.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์(ยศขณะนั้น) ขณะเป็นนายทหารคนสนิทเป็นเสนาธิการของแม่ทัพหาญ ร่วมกันร่างนโยบายดังกล่าว

เมื่อว่ากันเฉพาะนโยบายในภาพรวมนั่นคือ ไทยร่มเย็น เป็นมิตรเพื่อนบ้าน และในภาพของนโยบายท้องถิ่นเป็นยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาพื้นที่พิเศษอย่างในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสนอแนวทางการการปกครองในชื่อ “นครรัฐปัตตานี” หากดูผิวเผินก็ต้องยอมรับว่าสามารถเรียกความหวือหวาฮือฮาได้บ้าง แต่เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ของคนที่เสนอแล้วมันก็ล้มเหลวไร้เครดิตมาตั้งแต่ต้น เพราะยิ่งพูดมากก็ยิ่งสับสนมาก

และที่สำคัญ หากต้องการให้ “ไทยร่มเย็น” อย่างแท้จริงตามที่เสนอแล้ว ง่ายนิดเดียว เพียงแค่ พล.อ.ชวลิต หยุดเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความสับสน หรือรวมไปถึงการไปกระซิบบอกให้ ทักษิณ ชินวัตร หยุดอยู่เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดง หยุดป่วน หยุดทำร้ายประเทศชาติ ยอมรับกระบวนการยุติธรรมกลับมาสู้คดีตามกฎหมายเช่นบุคคลทั่วไป หากคิดว่าตัวเองไม่มีความผิดก็กลับมาต่อสู้ตามวิถีทาง

หรือหยุดใช้ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านเป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว

แค่นี้นี่แหละคือหนทางที่นำไปสู่ “ไทยร่วมเย็น และเป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน” อย่างแท้จริง !!

กำลังโหลดความคิดเห็น