หลัง "นช.แม้ว" จ้อสื่อนอกทำร้ายประเทศตัวเอง ดาบนั้นคืนสนองด้วยการย้อนพาชมคำสัมภาษณ์ "สตีเฟน ยัง" ฝรั่งรักประเทศไทย ที่ได้ตีแผ่สันดานชั่ว "นช.แม้ว" มักใหญ่ใฝ่สูง ใช้เงินซื้อคนจนแล้วเหยียบย่ำขึ้นเป็นผู้นำประเทศ ช่วยเตือนสติคนไทย ก่อนที่ชาติจะล่มจมเพราะคนๆเดียว
คลิกที่นี่ เพื่อชมคลิปวิดีโอทั้งหมด
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “เคาะข่าวริมโขง”
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทาง “อีสานทีวี” ช่วงเวลา 18.30-20.30 น.วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม มี นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย น.ส.วรรษมน ช่างปรีชา เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยวันนี้ได้มีการเชิญ นายประพันธ์ คูณมี ว่าที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ มาร่วมพูดคุยถึงประเด็นข่าวร้อนแรงที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกรณีการกระทำของสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่แสดงท่าทีเข้ามาแทรกแซงการเมืองไทย ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรม โดยกล่าวอ้างว่า ไม่ให้ความเป็นธรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังยืนยันว่าจะไม่ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนตามสนธิสัญญาระหว่างทั้งสองประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดสกู๊ปสัมภาษณ์ นายสตีเฟน ยัง นักศึกษาฮาร์วาร์ด ในฐานะที่เป็นลูกชายทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย และเป็นผู้เติบโตและศึกษาเล่าเรียนอยู่ในเมืองไทย จึงได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการปกครอง ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมมาจนถึงการเข้ามาของระบอบคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ซึ่งผู้ทำหน้าที่ซักถามครั้งนี้ คือ นายสุทธิชัย หยุ่น ในรายการชีพจรโลก
ช่วงแรก น.ส.วรรษมน กล่าวเปิดประเด็นถึงกรณีการกระทำของสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่พยายามหักหน้ารัฐบาลไทยด้วยการออกมาระบุว่า พร้อมจะสนับสนุนและช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดย นายประพันธ์ กล่าวประเด็นนี้ว่า เรื่องนี้ต้องท้าวความไปถึงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป เพราะแม้ว่าจะปิดฉากไปแล้วด้วยความเรียบร้อย แต่ก็มีสิ่งที่น่าเสียใจ คือ รัฐบาลไทยไม่สามารถทำให้ประเด็นการประชุมหาข้อตกลงร่วมกันของแต่ละประเทศเป็นเรื่องน่าสนใจมากกว่าประเด็นวิวาทะของผู้นำไทยกับผู้นำกัมพูชา ซึ่งชัดเจนว่าทางสมเด็จฯ ฮุนเซน ต้องการดิสเครดิต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลไทย โดยสมคบคิดกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ร่วมกันวางแผนปั่นกระแส เพื่อป่วนการประชุม ทำให้เป็นประเด็นร้อนขึ้นมา นับเป็นการสร้างบรรยากาศการประชุมให้เสีย ซึ่งมีผลกระทบมาก เพราะเป็นมารยาททางการเมืองที่ไม่ควรกระทำ
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า ทั้งหมดนี้เกิดจากที่ผ่านมารัฐบาลไทยแสดงท่าทีไม่เด็ดขาด จึงทำให้ฝ่ายกัมพูชา ไม่เกรงกลัวและได้ใจ คิดว่าจะกระทำใดๆ ก็ได้ เช่นเดียวกับท่าทีของ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไม่ได้ออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของไทย แม้ว่าจะถูกผู้นำกัมพูชา พูดจาดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมไทยว่า ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งถ้าหากมองความจริง จะเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่สมเด็จฯ ฮุนเซน ทำทุกอย่าง เพียงเพื่อต้องการผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น ดังนั้น ตนเชื่อว่า คนไทยกำลังอยากเห็นรัฐบาลภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ออกมาบีบให้ทางฝ่ายกัมพูชาเลือกว่าระหว่างผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ สำคัญมากกว่าหรือน้อยกว่าคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ โดยถ้าทางสมเด็จฯ ฮุนเซน ยังยืนยันว่าจะทำเช่นนั้นอยู่ ทางรัฐบาลไทยก็ต้องสั่งสอนให้รู้ว่า หากทำเช่นนั้น ต้องมีการลดระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกัน เนื่องจากการกระทำ พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.ชวลิต และสมเด็จฯ ฮุนเซนต้องการทำให้ประเทศไทยเสียหาย จึงสมควรต้องถูกประฌาม
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีลิ่วล้อ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาเขียนบทความ นั่นคือ ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ระบุว่าการที่ สมเด็จฯ ฮุนเซน แสดงเจตนาว่าจะไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ข้ามแดนตามสนธิสัญญาระหว่างทั้งประเทศ นับว่าเป็นการกระทำที่สามารถทำได้ หากเห็นว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีการเมืองก็ปฏิเสธการส่งตัวให้อีกประเทศได้ ซึ่งตนเห็นว่า สิ่งที่ ดร.นิติภูมิ พยายามนำเสนอเป็นเพียงข้อมูลด้านเดียว เพราะถ้าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กระทำผิดในคดีอาญา ก็มีสิทธิขอลี้ภัยทางการเมืองได้ แต่ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ทำ กลับเร่ร่อนไปประเทศต่างๆ โดยแท้จริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็รู้ตัวเองดี ว่ากระทำผิดคดีอาญา ไม่ใช่คดีทางการเมือง แต่ก็ยังไม่ยอมรับผิด ไม่หนำซ้ำยังเที่ยวอวดอ้างความเป็นประชาธิปไตยด้วยการยกตัวเองเทียบกับ นางอองซานซูจี อีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ได้มีนักศึกษาชาวพม่าออกมาคัดค้าน เนื่องจากเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ควรยกตัวเองไปเทียบกับนางอองซาน ซูจี เนื่องจากจิตสำนึกด้านประชาธิปไตยแตกกันอย่างสิ้นเชิง
นายชัชวาลย์กล่าวเสริมประเด็นนี้ว่า ตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองน่าเป็นห่วง เพราะพวกไม่รักชาติได้เปิดเผยตัวเองอย่างไม่ปิดบังว่าคิดอย่างไร ทั้งที่เวลานี้บ้านเมืองต้องการความสงบ สมานฉันท์ แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มพยายามปั่นกระแส และกวนน้ำให้ขุ่น โดยกระบวนการเหล่านี้ มีจุดประสงค์เพื่อต้องการให้มีการเปลี่ยนถ่ายทางการเมือง นำไปสู่กระบวนการเลือกตั้ง เพราะมั่นใจว่า หากมีเลือกตั้งเมื่อไหร่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะชนะคะแนนเสียงแน่นอน และจะทำให้ผลประโยชน์ต่างๆ มีการแบ่งสรรปันส่วนกันได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทเขาพระวิหาร หรือจะเป็นผลประโยชน์บ่อน้ำมันในกัมพูชา
ช่วงต่อมาได้มีการเปิดสกู๊ปสัมภาษณ์ นายสตีเฟน ยัง โดย นายสิทธิชัย หยุ่น เป็นผู้ซักถาม ในรายการชีพจรโลก ซึ่งเนื้อหาใจความของคำสัมภาษณ์ มีดังนี้ นายสตีเฟน กล่าวว่า บิดาของตนใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และใกล้ชิดกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ปี 2504 จึงได้เห็นช่องว่างระหว่างคนชนชั้นสูงกับคนจนในชนบทอย่างชัดเจน จนมาถึงปัจจุบัน ปี 2552 ตนได้ยินกลุ่มคนเสื้อแดงพูดว่า ไทยมีช่องว่างระหว่างคนรวยในกรุงเทพฯ กับคนจนในชนบท ทำให้ตนคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะทุกวันนี้ช่องว่างมีเพียงแค่นี้ เทียบกับที่ประเทศสหรัฐฯ ก็มีช่องว่างเช่นกัน
นายสตีเฟนกล่าวต่อว่า ตนเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2504 ซึ่งเป็นเวลากว่า 48 ปีมาแล้ว โดยตนมาอยู่ตั้งแต่ประเทศไทยยังไม่มีไฟฟ้า และน้ำประปาใช้ รวมทั้งถนนยังเป็นดินลูกรัง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ประเทศไทยมักเจอเรื่องราวแปลกประหลาดเสมอ ทำนองว่าประเทศนี้ยังไม่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยปัญญาชนบางคนที่ต้องการปฏิวัติอำนาจ เขามองว่าเรื่องนี้ไร้สาระ และทำให้สิ่งเหล่านี้ทำให้ตนมองเห็นความทะเยอทะยานของผู้ชายชื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจในเครือชินคอร์เปอเรชั่นฯ และสัมปทานโทรศัพท์ของรัฐบาลด้วยระบบผูกขาด
นายสตีเฟน ย้ำว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำเงินได้เยอะ และกลายเป็นคนรวย เพราะรัฐบาลได้มอบฐานะบุคคลอภิสิทธิ์ให้เขา พร้อมทั้งให้สิทธิพิเศษในการผูกขาดด้านต่างๆ จึงทำให้การปกครองของคนชั้นสูงหรือกลุ่มคนร่ำรวย มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น
“นี่ไม่ใช่เรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่เริ่มจากความยากจนแล้วไต่เต้าขึ้นมารวย เขามีสายสัมพันธ์พิเศษ และผมเห็นเขาใช้สายสัมพันธ์พิเศษเหล่านั้น” นายสตีเฟน กล่าว
นายสตีเฟนกล่าวอีกว่า สำหรับตนแล้วมุมมองความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นแบบจักรพรรดิจีน นั่นคือ ในสมัย “ฉิน จื่อ หวาง” ได้มีการแบ่งชนชั้น เสมือนเบื้องบนเป็นสวรรค์ ถัดลงมาเป็นคนคนนึง ส่วนเบื้องล่างคือคนที่เหลือ แล้วเข้าควบคุมรัฐบาล ตำรวจ ผู้พิพากษา นักธุรกิจ โทรทัศน์ และนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เขา ซึ่งไม่เคยมีผู้นำไทยคนไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่พยายามทำเช่นนี้ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบทำให้คนไทยตัวเล็กๆ แหงนมองว่าเขาสำคัญ เพราะพวกเขามีความรู้สึกของระบบอุปถัมภ์อยู่ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้าไปตัดลำดับขั้นต่างๆ เพื่อเข้าไปปกครองโดยตรง ทำให้ทุกคนที่ทำงานอยู่ต้องตกภายใต้ตัวผู้นำ ไม่ใช่ความร่วมมือแบบเก่าๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่ทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อว่าเงินของอดีตนายกรัฐมนตรี จะช่วยดูแลพวกเขาได้ แต่ถ้าถามว่าลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ตนต้องขอตอบว่า คำว่าประชาธิปไตยที่ปราศจากศีลธรรมที่ว่าย่ำแย่ที่สุดแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับความยุติธรรมที่เป็นสิ่งจำเป็นกว่านั้น
“ย้อนกลับไปที่อริสโตเติล หากคุณเป็นประชาธิปไตย แต่คุณฉ้อโกง ทำร้ายผู้อื่น เราเรียกว่าทรราช คุณไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม นั่นเป็นระบบที่เลวร้าย อริสโตเติล กล่าวไว้ว่าทุกๆระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบอบกษัตริย์ ขุนนาง หรือประชาธิปไตย ต้องมีกฎหมาย มีศีลธรรม และเป็นธรรม ที่จะควบคุมอำนาจในทางมิชอบ” นายสตีเฟนกล่าว
นายสตีเฟนกล่าวต่อว่า สิ่งที่ประเทศไทยเดินผิดทาง คือ การปกครองลักษณะเดียวกับประเทศอาร์เจนตินา ที่อยู่ภายใต้การนำของ “ฮวน เปรอง” ที่ไปบอกหากเลือกเขาเป็นผู้นำ จะเอาเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน ทั้งที่เมื่อปี 1930 ก่อนยุค ฮวน เปรอง อาร์เจนตินาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวย แต่เมื่อเจอผู้นำเผด็จการทำลายเศรษฐกิจและสร้างพรรคเผด็จการ 70 ปีต่อมา อาร์เจนตินากลับต้องเป็นประเทศที่เผชิญกับความยากจนและแตกแยก หากประเทศไทยยังปล่อยไว้เช่นนี้ ก็จะประสบชะตากรรมเดียวกันกับอาร์เจนตินา
นายสตีเฟนย้ำอีกว่า ระบบที่ดีอยู่ที่ใครจะสร้างความยุติธรรมในสังคมได้ หรือใครจะปกครองสังคมอย่างมีศีลธรรม ซึ่งต้องมีการตรวจสอบและควบคุมกันและกันได้ เหมือนเช่นรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่นับว่าดี แต่มีบางคนที่มีเงินแล้วเข้ามาทำตัวเหมือนหนูที่จะเอาเนยแข็งไปทั้งก้อน ทำให้คุณความดีของรัฐธรรมนูญสูญหายไป เกิดเหตุผู้คนไม่พอใจ ทำการประท้วง หรือปฏิเสธการประนีประนอม โดยที่ผ่านมาตนได้ยิน พ.ต.ท.ทักษิณ พูดมาตลอดว่า เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน ปี 2549 ที่ล้มล้างอำนาจเขา นับเป็นการข่มเหงเขามาตลอด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยพูดว่า ตนเองฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและทำลายกฎหมายอย่างไร ยังไม่นับกับสร้างความชอบธรรมและอะลุ้มอล่วยทางกฎหมาย คือ หากจะพูดให้ชัดเจน พ.ต.ท.ทักษิณ เองที่เป็นฝ่ายทำให้กระบวนการล่มสลาย และการรัฐประหารเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการล่มสลายเท่านั้น
“ตอนนั้นผมรู้สึกเศร้าใจ อะไรคือทางออกของไทย ถ้าเดินหน้าต่อไป พ.ต.ท.ทักษิณ อาจดำเนินเหตุการณ์ไปจบลงด้วยเผด็จการแบบจีน ซึ่งไม่ดีต่อประเทศไทยแน่ๆ แต่ถ้าเลือกรัฐประหารมันก็ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเทศไทยไม่ควรตกอยู่ในจุดนั้น ไม่ใช่เพราะกองทัพ ไม่ใช่เพราะคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่เพราะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่เป็นเพราะคนๆนึงกับทีมของเขาเอง” นายสตีเฟน กล่าว
สำหรับกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ โทษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าอยู่เบื้องหลังความเดือดร้อนของประเทศ นายสตีเฟน กล่าวประเด็นนี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนฉลาดในการพูด ดังนั้น เขารู้จักหัวใจคนไทยดี รู้ว่าควรจะพูดอะไรให้คนไทยคิดเหมือนเขา ซึ่งในตะวันตกเรียกว่าเป็นผู้ปลุกปั่น โดยเขาจะศึกษาตัวตนของคนฟังว่ามีอารมณ์อย่างไร แล้วก็พูดในสิ่งที่คนอยากได้ยิน ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกชอบหรือห่วงใย แต่เป็นเพราะต้องการอะไรบางอย่าง นั่นคือ เสียงโหวตและความภักดี
ท้ายสุด นายสตีเฟนกล่าวว่า ตนยังหวังว่าความแตกแยกทางการเมืองในประเทศไทยจะสามารถแก้ไขได้ ถ้าหากทุกฝ่ายนั่งลงแล้วคุยกันถึงวิธีแก้ปัญหาแล้วทำงานร่วมกัน โดยทุกคนควรมีจิตสำนึกในสิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จริยธรรม และความภาคภูมิใจที่เป็นคนไทย พร้อมทั้งไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือต้องฟังใคร รวมทั้ง ที่สำคัญกว่านั้น หากความทะเยอทะยานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกนำออกไปจากบริบทปัญหานี้ก็น่าจะมีทางออกสักทาง
“ยารสหวานๆ แบบฉบับไทยๆ กินทุกๆ วันเป็นเดือนหรือ 3 เดือนแล้วคุณจะดีขึ้นเอง ดีกว่ายาที่กินวันเดียว แต่คนอาจไม่ชอบ ยานี้คืออะไร ผมว่ามันต้องมาจากผู้นำรัฐบาล ผู้นำพรรคการเมือง พวกเขาอาจต้องกลืนยาขม จะต้องไม่มีใครรับสินบน ใช้เวลา 3 ปี ตำรวจและทุกๆ คนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง นี่คือยาขมทำให้คนไทยได้เห็นว่านี่คือกฎเกณฑ์ใหม่” นายสตีเฟน กล่าว
ช่วงสุดท้ายของรายการ มีการเชิญ กำปั่น บ้านแท่น ศิลปินที่ครั้งหนึ่งเคยสวามิภักดิ์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เมื่อเห็นธาตุแท้ที่โผล่ออกมา เขาผู้นี้ปลดแอกออกจากพันธนาการความชั่ว แล้วกลับมาร่วมเป็นคนนึงที่ช่วยปกป้อง 3 สถาบันหลักที่เป็นหัวใจสำคัญของประเทศ นั่นคือ ชาติ ศาสน์ และกษัตริย์ ให้รอดพ้นจากมารผจญที่จ้องทำลายบ้านเมือง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “เคาะข่าวริมโขง”
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทาง “อีสานทีวี” ช่วงเวลา 18.30-20.30 น.วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม มี นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย น.ส.วรรษมน ช่างปรีชา เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยวันนี้ได้มีการเชิญ นายประพันธ์ คูณมี ว่าที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ มาร่วมพูดคุยถึงประเด็นข่าวร้อนแรงที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกรณีการกระทำของสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่แสดงท่าทีเข้ามาแทรกแซงการเมืองไทย ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรม โดยกล่าวอ้างว่า ไม่ให้ความเป็นธรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังยืนยันว่าจะไม่ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนตามสนธิสัญญาระหว่างทั้งสองประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดสกู๊ปสัมภาษณ์ นายสตีเฟน ยัง นักศึกษาฮาร์วาร์ด ในฐานะที่เป็นลูกชายทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย และเป็นผู้เติบโตและศึกษาเล่าเรียนอยู่ในเมืองไทย จึงได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการปกครอง ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมมาจนถึงการเข้ามาของระบอบคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ซึ่งผู้ทำหน้าที่ซักถามครั้งนี้ คือ นายสุทธิชัย หยุ่น ในรายการชีพจรโลก
ช่วงแรก น.ส.วรรษมน กล่าวเปิดประเด็นถึงกรณีการกระทำของสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่พยายามหักหน้ารัฐบาลไทยด้วยการออกมาระบุว่า พร้อมจะสนับสนุนและช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดย นายประพันธ์ กล่าวประเด็นนี้ว่า เรื่องนี้ต้องท้าวความไปถึงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป เพราะแม้ว่าจะปิดฉากไปแล้วด้วยความเรียบร้อย แต่ก็มีสิ่งที่น่าเสียใจ คือ รัฐบาลไทยไม่สามารถทำให้ประเด็นการประชุมหาข้อตกลงร่วมกันของแต่ละประเทศเป็นเรื่องน่าสนใจมากกว่าประเด็นวิวาทะของผู้นำไทยกับผู้นำกัมพูชา ซึ่งชัดเจนว่าทางสมเด็จฯ ฮุนเซน ต้องการดิสเครดิต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลไทย โดยสมคบคิดกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ร่วมกันวางแผนปั่นกระแส เพื่อป่วนการประชุม ทำให้เป็นประเด็นร้อนขึ้นมา นับเป็นการสร้างบรรยากาศการประชุมให้เสีย ซึ่งมีผลกระทบมาก เพราะเป็นมารยาททางการเมืองที่ไม่ควรกระทำ
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า ทั้งหมดนี้เกิดจากที่ผ่านมารัฐบาลไทยแสดงท่าทีไม่เด็ดขาด จึงทำให้ฝ่ายกัมพูชา ไม่เกรงกลัวและได้ใจ คิดว่าจะกระทำใดๆ ก็ได้ เช่นเดียวกับท่าทีของ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไม่ได้ออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของไทย แม้ว่าจะถูกผู้นำกัมพูชา พูดจาดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมไทยว่า ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งถ้าหากมองความจริง จะเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่สมเด็จฯ ฮุนเซน ทำทุกอย่าง เพียงเพื่อต้องการผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น ดังนั้น ตนเชื่อว่า คนไทยกำลังอยากเห็นรัฐบาลภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ออกมาบีบให้ทางฝ่ายกัมพูชาเลือกว่าระหว่างผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ สำคัญมากกว่าหรือน้อยกว่าคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ โดยถ้าทางสมเด็จฯ ฮุนเซน ยังยืนยันว่าจะทำเช่นนั้นอยู่ ทางรัฐบาลไทยก็ต้องสั่งสอนให้รู้ว่า หากทำเช่นนั้น ต้องมีการลดระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกัน เนื่องจากการกระทำ พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.ชวลิต และสมเด็จฯ ฮุนเซนต้องการทำให้ประเทศไทยเสียหาย จึงสมควรต้องถูกประฌาม
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีลิ่วล้อ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาเขียนบทความ นั่นคือ ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ระบุว่าการที่ สมเด็จฯ ฮุนเซน แสดงเจตนาว่าจะไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ข้ามแดนตามสนธิสัญญาระหว่างทั้งประเทศ นับว่าเป็นการกระทำที่สามารถทำได้ หากเห็นว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีการเมืองก็ปฏิเสธการส่งตัวให้อีกประเทศได้ ซึ่งตนเห็นว่า สิ่งที่ ดร.นิติภูมิ พยายามนำเสนอเป็นเพียงข้อมูลด้านเดียว เพราะถ้าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กระทำผิดในคดีอาญา ก็มีสิทธิขอลี้ภัยทางการเมืองได้ แต่ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ทำ กลับเร่ร่อนไปประเทศต่างๆ โดยแท้จริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็รู้ตัวเองดี ว่ากระทำผิดคดีอาญา ไม่ใช่คดีทางการเมือง แต่ก็ยังไม่ยอมรับผิด ไม่หนำซ้ำยังเที่ยวอวดอ้างความเป็นประชาธิปไตยด้วยการยกตัวเองเทียบกับ นางอองซานซูจี อีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ได้มีนักศึกษาชาวพม่าออกมาคัดค้าน เนื่องจากเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ควรยกตัวเองไปเทียบกับนางอองซาน ซูจี เนื่องจากจิตสำนึกด้านประชาธิปไตยแตกกันอย่างสิ้นเชิง
นายชัชวาลย์กล่าวเสริมประเด็นนี้ว่า ตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองน่าเป็นห่วง เพราะพวกไม่รักชาติได้เปิดเผยตัวเองอย่างไม่ปิดบังว่าคิดอย่างไร ทั้งที่เวลานี้บ้านเมืองต้องการความสงบ สมานฉันท์ แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มพยายามปั่นกระแส และกวนน้ำให้ขุ่น โดยกระบวนการเหล่านี้ มีจุดประสงค์เพื่อต้องการให้มีการเปลี่ยนถ่ายทางการเมือง นำไปสู่กระบวนการเลือกตั้ง เพราะมั่นใจว่า หากมีเลือกตั้งเมื่อไหร่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะชนะคะแนนเสียงแน่นอน และจะทำให้ผลประโยชน์ต่างๆ มีการแบ่งสรรปันส่วนกันได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทเขาพระวิหาร หรือจะเป็นผลประโยชน์บ่อน้ำมันในกัมพูชา
ช่วงต่อมาได้มีการเปิดสกู๊ปสัมภาษณ์ นายสตีเฟน ยัง โดย นายสิทธิชัย หยุ่น เป็นผู้ซักถาม ในรายการชีพจรโลก ซึ่งเนื้อหาใจความของคำสัมภาษณ์ มีดังนี้ นายสตีเฟน กล่าวว่า บิดาของตนใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และใกล้ชิดกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ปี 2504 จึงได้เห็นช่องว่างระหว่างคนชนชั้นสูงกับคนจนในชนบทอย่างชัดเจน จนมาถึงปัจจุบัน ปี 2552 ตนได้ยินกลุ่มคนเสื้อแดงพูดว่า ไทยมีช่องว่างระหว่างคนรวยในกรุงเทพฯ กับคนจนในชนบท ทำให้ตนคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะทุกวันนี้ช่องว่างมีเพียงแค่นี้ เทียบกับที่ประเทศสหรัฐฯ ก็มีช่องว่างเช่นกัน
นายสตีเฟนกล่าวต่อว่า ตนเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2504 ซึ่งเป็นเวลากว่า 48 ปีมาแล้ว โดยตนมาอยู่ตั้งแต่ประเทศไทยยังไม่มีไฟฟ้า และน้ำประปาใช้ รวมทั้งถนนยังเป็นดินลูกรัง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ประเทศไทยมักเจอเรื่องราวแปลกประหลาดเสมอ ทำนองว่าประเทศนี้ยังไม่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยปัญญาชนบางคนที่ต้องการปฏิวัติอำนาจ เขามองว่าเรื่องนี้ไร้สาระ และทำให้สิ่งเหล่านี้ทำให้ตนมองเห็นความทะเยอทะยานของผู้ชายชื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจในเครือชินคอร์เปอเรชั่นฯ และสัมปทานโทรศัพท์ของรัฐบาลด้วยระบบผูกขาด
นายสตีเฟน ย้ำว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำเงินได้เยอะ และกลายเป็นคนรวย เพราะรัฐบาลได้มอบฐานะบุคคลอภิสิทธิ์ให้เขา พร้อมทั้งให้สิทธิพิเศษในการผูกขาดด้านต่างๆ จึงทำให้การปกครองของคนชั้นสูงหรือกลุ่มคนร่ำรวย มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น
“นี่ไม่ใช่เรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่เริ่มจากความยากจนแล้วไต่เต้าขึ้นมารวย เขามีสายสัมพันธ์พิเศษ และผมเห็นเขาใช้สายสัมพันธ์พิเศษเหล่านั้น” นายสตีเฟน กล่าว
นายสตีเฟนกล่าวอีกว่า สำหรับตนแล้วมุมมองความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นแบบจักรพรรดิจีน นั่นคือ ในสมัย “ฉิน จื่อ หวาง” ได้มีการแบ่งชนชั้น เสมือนเบื้องบนเป็นสวรรค์ ถัดลงมาเป็นคนคนนึง ส่วนเบื้องล่างคือคนที่เหลือ แล้วเข้าควบคุมรัฐบาล ตำรวจ ผู้พิพากษา นักธุรกิจ โทรทัศน์ และนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เขา ซึ่งไม่เคยมีผู้นำไทยคนไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่พยายามทำเช่นนี้ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบทำให้คนไทยตัวเล็กๆ แหงนมองว่าเขาสำคัญ เพราะพวกเขามีความรู้สึกของระบบอุปถัมภ์อยู่ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้าไปตัดลำดับขั้นต่างๆ เพื่อเข้าไปปกครองโดยตรง ทำให้ทุกคนที่ทำงานอยู่ต้องตกภายใต้ตัวผู้นำ ไม่ใช่ความร่วมมือแบบเก่าๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่ทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อว่าเงินของอดีตนายกรัฐมนตรี จะช่วยดูแลพวกเขาได้ แต่ถ้าถามว่าลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ตนต้องขอตอบว่า คำว่าประชาธิปไตยที่ปราศจากศีลธรรมที่ว่าย่ำแย่ที่สุดแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับความยุติธรรมที่เป็นสิ่งจำเป็นกว่านั้น
“ย้อนกลับไปที่อริสโตเติล หากคุณเป็นประชาธิปไตย แต่คุณฉ้อโกง ทำร้ายผู้อื่น เราเรียกว่าทรราช คุณไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม นั่นเป็นระบบที่เลวร้าย อริสโตเติล กล่าวไว้ว่าทุกๆระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบอบกษัตริย์ ขุนนาง หรือประชาธิปไตย ต้องมีกฎหมาย มีศีลธรรม และเป็นธรรม ที่จะควบคุมอำนาจในทางมิชอบ” นายสตีเฟนกล่าว
นายสตีเฟนกล่าวต่อว่า สิ่งที่ประเทศไทยเดินผิดทาง คือ การปกครองลักษณะเดียวกับประเทศอาร์เจนตินา ที่อยู่ภายใต้การนำของ “ฮวน เปรอง” ที่ไปบอกหากเลือกเขาเป็นผู้นำ จะเอาเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน ทั้งที่เมื่อปี 1930 ก่อนยุค ฮวน เปรอง อาร์เจนตินาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวย แต่เมื่อเจอผู้นำเผด็จการทำลายเศรษฐกิจและสร้างพรรคเผด็จการ 70 ปีต่อมา อาร์เจนตินากลับต้องเป็นประเทศที่เผชิญกับความยากจนและแตกแยก หากประเทศไทยยังปล่อยไว้เช่นนี้ ก็จะประสบชะตากรรมเดียวกันกับอาร์เจนตินา
นายสตีเฟนย้ำอีกว่า ระบบที่ดีอยู่ที่ใครจะสร้างความยุติธรรมในสังคมได้ หรือใครจะปกครองสังคมอย่างมีศีลธรรม ซึ่งต้องมีการตรวจสอบและควบคุมกันและกันได้ เหมือนเช่นรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่นับว่าดี แต่มีบางคนที่มีเงินแล้วเข้ามาทำตัวเหมือนหนูที่จะเอาเนยแข็งไปทั้งก้อน ทำให้คุณความดีของรัฐธรรมนูญสูญหายไป เกิดเหตุผู้คนไม่พอใจ ทำการประท้วง หรือปฏิเสธการประนีประนอม โดยที่ผ่านมาตนได้ยิน พ.ต.ท.ทักษิณ พูดมาตลอดว่า เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน ปี 2549 ที่ล้มล้างอำนาจเขา นับเป็นการข่มเหงเขามาตลอด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยพูดว่า ตนเองฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและทำลายกฎหมายอย่างไร ยังไม่นับกับสร้างความชอบธรรมและอะลุ้มอล่วยทางกฎหมาย คือ หากจะพูดให้ชัดเจน พ.ต.ท.ทักษิณ เองที่เป็นฝ่ายทำให้กระบวนการล่มสลาย และการรัฐประหารเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการล่มสลายเท่านั้น
“ตอนนั้นผมรู้สึกเศร้าใจ อะไรคือทางออกของไทย ถ้าเดินหน้าต่อไป พ.ต.ท.ทักษิณ อาจดำเนินเหตุการณ์ไปจบลงด้วยเผด็จการแบบจีน ซึ่งไม่ดีต่อประเทศไทยแน่ๆ แต่ถ้าเลือกรัฐประหารมันก็ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเทศไทยไม่ควรตกอยู่ในจุดนั้น ไม่ใช่เพราะกองทัพ ไม่ใช่เพราะคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่เพราะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่เป็นเพราะคนๆนึงกับทีมของเขาเอง” นายสตีเฟน กล่าว
สำหรับกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ โทษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าอยู่เบื้องหลังความเดือดร้อนของประเทศ นายสตีเฟน กล่าวประเด็นนี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนฉลาดในการพูด ดังนั้น เขารู้จักหัวใจคนไทยดี รู้ว่าควรจะพูดอะไรให้คนไทยคิดเหมือนเขา ซึ่งในตะวันตกเรียกว่าเป็นผู้ปลุกปั่น โดยเขาจะศึกษาตัวตนของคนฟังว่ามีอารมณ์อย่างไร แล้วก็พูดในสิ่งที่คนอยากได้ยิน ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกชอบหรือห่วงใย แต่เป็นเพราะต้องการอะไรบางอย่าง นั่นคือ เสียงโหวตและความภักดี
ท้ายสุด นายสตีเฟนกล่าวว่า ตนยังหวังว่าความแตกแยกทางการเมืองในประเทศไทยจะสามารถแก้ไขได้ ถ้าหากทุกฝ่ายนั่งลงแล้วคุยกันถึงวิธีแก้ปัญหาแล้วทำงานร่วมกัน โดยทุกคนควรมีจิตสำนึกในสิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จริยธรรม และความภาคภูมิใจที่เป็นคนไทย พร้อมทั้งไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือต้องฟังใคร รวมทั้ง ที่สำคัญกว่านั้น หากความทะเยอทะยานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกนำออกไปจากบริบทปัญหานี้ก็น่าจะมีทางออกสักทาง
“ยารสหวานๆ แบบฉบับไทยๆ กินทุกๆ วันเป็นเดือนหรือ 3 เดือนแล้วคุณจะดีขึ้นเอง ดีกว่ายาที่กินวันเดียว แต่คนอาจไม่ชอบ ยานี้คืออะไร ผมว่ามันต้องมาจากผู้นำรัฐบาล ผู้นำพรรคการเมือง พวกเขาอาจต้องกลืนยาขม จะต้องไม่มีใครรับสินบน ใช้เวลา 3 ปี ตำรวจและทุกๆ คนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง นี่คือยาขมทำให้คนไทยได้เห็นว่านี่คือกฎเกณฑ์ใหม่” นายสตีเฟน กล่าว
ช่วงสุดท้ายของรายการ มีการเชิญ กำปั่น บ้านแท่น ศิลปินที่ครั้งหนึ่งเคยสวามิภักดิ์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เมื่อเห็นธาตุแท้ที่โผล่ออกมา เขาผู้นี้ปลดแอกออกจากพันธนาการความชั่ว แล้วกลับมาร่วมเป็นคนนึงที่ช่วยปกป้อง 3 สถาบันหลักที่เป็นหัวใจสำคัญของประเทศ นั่นคือ ชาติ ศาสน์ และกษัตริย์ ให้รอดพ้นจากมารผจญที่จ้องทำลายบ้านเมือง